การที่เราบริกรรมพุทโธเวลานี้ ที่เรากำลังสร้างพื้นฐานนี่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เราได้ทำในทางที่ถูกต้อง และเราได้สร้างพื้นฐานให้แก่เราอย่างจริงจัง

เมื่อเรานึกพุทโธทีไร ก็ถือว่าเราได้สติ เราได้ปัญญา เราได้กำลัง

เพราะว่าการนึกพุทโธนั้น นึกไม่เท่าไหร่หรอก แล้วจิตก็จะรวมเป็นสมาธิ จิตก็เป็นหนึ่ง
เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้วจิตก็เป็นสมาธิ
เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจิตก็สามารถผลิตพลังจิตได้
เมื่อผลิตพลังจิตขึ้นมาได้แล้วพลังจิตก็จะเติบโต หมายความว่าแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ และสมาธิที่เกิดพลังจิตนั้นก็กลายไปเป็นฌาน

เมื่อพื้นฐานมีอยู่เต็มที่แล้ว อย่างนี้ท่านเปรียบเหมือนกับว่าคนที่มีเงิน
เมื่อมีเงินมากแล้ว อยากจะซื้ออะไรก็ย่อมซื้อได้

ถ้าหากมีเงินน้อยมันไม่พอที่จะรับประทานซะด้วยซ้ำไป
ถ้ามีเงินมากก็สามารถที่จะซื้อของที่เราต้องการได้

เช่นเดียวกันกับที่เราสร้างพลังจิตขึ้นมา
เมื่อเราสร้างพลังจิตขึ้นมาแล้วนี่ ก็สามารถที่จะทำให้เกิดความสมประสงค์

เราประสงค์จะวิปัสสนา เราจะประสงค์อะไรมันก็ได้ตามปรารถนาของบุคคลผู้นั้น
แต่โดยมากแล้วคนชอบที่จะทำให้มันสุกก่อนห่าม นั้นคือว่าอยากจะได้เร็วเกินไป แล้วก็รีบ ๆ ทำ แล้วมันก็ลวก ๆ
พอมันลวก ๆ แล้วมันก็เลยไม่สุก
เมื่อไม่สุกแล้วมันก็สุก ๆ ดิบ ๆ แล้วมันก็ใช้ไม่ได้ ไม่สมบูรณ์

เพราะฉะนั้นการที่เราจะข้ามพื้นฐานไปนั้น จำเป็นที่จะต้องสำรวจตรวจดูในจิตใจของเรานั้น มีความเข้มแข็งแค่ไหน

เมื่อมีความเข้มแข็งแล้ว เราจะทำอะไรย่อมทำให้เกิดขึ้นมาได้
เพราะว่าสิ่งที่เป็นสมาธิที่เรียกว่ามีความเข้มแข็งนั้น มันเป็นความเข้มแข็งที่มีความสามารถ

ตัวของเราเองย่อมจะต้องรู้จักว่าเราเข้มแข็งแค่ไหน
เหมือนกันกับเรามีเงิน

เรามีเงินร้อยบาทไม่มีใครรู้นอกจากตัวเราเอง เรามีเงินพันบาท มีเงินหมื่นบาท มีเงินแสนบาท มีเงินหลายล้าน เป็นเศรษฐี ใครจะมารู้ เรารู้ด้วยตัวเราเองว่าเราเป็น อย่างนี้ พลังจิตก็เช่นเดียวกัน

เมื่อเวลาที่เราสามารถสร้างพื้นฐานขึ้นมาได้แล้วนี่ เราสามารถสร้างพลังจิตอันนี้ให้เติบโตยิ่ง ๆ ขึ้น มีความเจริญก้าวหน้า

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่มแรก หน้าที่ ๒๐๑
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๔.๑๑