พระพุทธเจ้าตรัสว่าโลกนี้จะตั้งอยู่ได้เพราะมีธรรม ๒ ประการ
ธรรม ๒ ประการนั้นคือ หิริ ความละอายแก่บาป โอตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป

คำว่าบาปก็หมายถึงความชั่ว ความชั่วร้ายต่าง ๆ นี้เกิดขึ้นมาได้กับมนุษย์ แล้วในขณะเดียวกันความดีต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นมาในมนุษย์

ร่างกายของเราเป็นเพียงหุ่นให้ใจของเรานี้เชิด

ใจบังคับให้ร้องไห้ก็ร้องไห้ ใจบังคับให้หัวเราะก็หัวเราะ ใจบังคับให้ทำอะไรทำทุกอย่าง
ร่างกายต้องทำตามใจ

เพราะฉะนั้นจึงมาลงที่ว่าต้องใจบริสุทธิ์
อาศัยความบริสุทธิ์ของใจมันถึงจะเกิด หิริ ความละอายแก่บาป โอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป

เพราะฉะนั้นในการที่เราพากันทำสมาธิ สมาธิเป็นเรื่องของใจ
ใจนั้นมีอารมณ์เรียกว่าอารมณ์ร้อยแปดพันประการ นั้นเรียกว่าจิตไม่เป็นสมาธิ
เมื่อจิตมาเป็นอารมณ์อันเดียวได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นจิตก็เป็นสมาธิ
เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจิตก็ผลิตพลังจิต อันนี้เป็นธรรมชาติ

แล้วความฟุ้งซ่านต่าง ๆ นั้น หรือว่าความคิดความอ่านอะไรต่าง ๆ นั้น ทำไมมนุษย์เรานี่ยับยั้งไม่ได้
ยับยั้งไม่ได้ถ้าหากว่าไม่มีพลังจิต เราก็ยับยั้งไม่ได้มันจะปรุงแต่ง
คนชั้นนี้ปรุงแต่งอย่างนี้ คนชั้นนี้ปรุงแต่งอย่างนี้ ต่างคนก็ต่างปรุงแต่งขึ้นมา
เมื่อมันปรุงแต่งขึ้นมาอย่างไรแล้วนี่ แล้วก็จะต้องมีผู้สั่งการ
ถึงจะปรุงแต่งอะไรมาก็ตามจะต้องมีใจเป็นผู้สั่งการ

เพราะฉะนั้นผู้ที่ผ่านการทำสมาธิมาแล้ว ความละอายเกิดขึ้นเอง ความเกรงกลัวเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องไปบังคับ
แต่ถ้าหากว่าเขาไม่ทำสมาธิขาดพลังจิต มันรู้อยู่ว่าไอ้อย่างนี้มันไม่ดีแต่ว่าเราอยากจะทำ อันนี้มันก่อความโกลาหล มันไม่ดีแต่หักห้ามใจไม่ได้
อันนี้มันก่อให้เกิดความทุกข์แก่ตนและบุคคลอื่น
ก็รู้อยู่ว่ามันจะเป็นความทุกข์ให้แก่ตนให้แก่ผู้อื่น แต่ว่าก็หักห้ามใจไม่ได้อีก
อันนี้โลกของเรานี้มันจะอยู่ไม่ได้ถ้าหากว่าขาดธรรม ๒ ประการนี้
เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยสมาธิ

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่มแรก หน้าที่ ๓๗
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๓.๑๑