สมาธินี้มันเป็นเครื่องกลั่นกรอง แล้วก็เป็นเครื่องที่จะฟอก ทำให้สมองเรานี้สะอาด

สมองของคนเรานี้มันจะต้อนรับอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ คือรับอารมณ์อยู่ตลอด
อารมณ์นั้นน่ะมันไม่ใช่มีอารมณ์ดีอย่างเดียว อารมณ์บูดก็มี อารมณ์ไม่ดีก็มี ทั้งดีและไม่ดีนี่สมองต้องรับหมด

ทีนี้ถ้ารับอย่างดีมันก็ค่อยยังชั่วไป
แต่ถ้ารับอย่างไม่ดีขึ้นมามันก็ไปฝัง ฝังมันกลายเป็นตะกอน
กลายเป็นตะกอนแล้วก็ทำให้สมองของคนเรานี่สับสนวุ่นวาย ไม่สะอาด

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ความคิดที่มีความฉลาดนี่จะใช้ได้เพียง ๒๐ % ของสมองที่มีอยู่

ทีนี้ถ้าหากว่าเขาสามารถที่จะเคลียร์อารมณ์ที่เข้ามาสู่สมองของเรานี่ให้ได้น้อย ๆ
ไม่ต้องมาก เพียงว่ามาลองทำสมาธิดูนิดหน่อย มันก็จะค่อยดีขึ้น
เมื่อดีขึ้นแล้วนี่มันก็จะมาฟอกสมองของเรานี่ให้ใช้ได้จาก ๒๐% ก็เป็น ๓๐%

ทีนี้ในที่สุดคนนั้น ๆ ก็ได้มีความตั้งใจว่าอยากจะพัฒนาสมาธิจาก ๔ นาที ๕ นาที มาเป็น ๙ นาที ๑๐ นาที
สมองของคนนั้นน่ะมันก็จะเริ่มใช้งานได้จาก ๓๐ นี่ก็เป็น ๕๐
พอสมองใช้ได้ ๕๐ นี่คนนั้นก็จะเกิดความปราดเปรื่องขึ้นมาอีกเยอะ

ทีนี้ถ้าหากว่าคนที่มีความสามารถจนกระทั่งทำสมาธิให้เกิดเป็นฌาน เป็นญาณขึ้นมาอย่างนี้
สมองก็จะใช้ถึง ๖๐ – ๗๐% แล้วก็จะเป็นคนที่ปราดเปรื่องกว่าบุคคลผู้อื่น เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นเราอยากจะให้ลูกของเราดี เราอยากจะให้เพื่อนของเราดี เราอยากจะให้ญาติของเราดี ก็จะต้องแนะนำกันว่าพยายามที่จะเคลียร์ เคลียร์สมอง
เมื่อเคลียร์สมองได้แล้วนี่อะไรจะเกิดขึ้นกับสมองอันนี้
สมองอันนี้จะเกิดความปราดเปรื่อง มันจะเกิดการรับผิดชอบ มันจะเกิดเหตุผล และมันจะทรงอิทธิพลทำให้เรานี่มีความเข้าใจในสิ่งที่ไม่เข้าใจอีกมากมาย

เราต้องเข้าใจว่าใจของคนเรานี่เปรียบเหมือนกันกับห้องสมุด

ห้องสมุดท่านทั้งหลายก็คงรู้ว่าอะไรคือห้องสมุด
เขาจะต้องเก็บหนังสือทุกวิชาการเข้าไปเก็บไว้ที่ห้องสมุด สารพัดเขาจะเก็บไว้ที่ห้องสมุด

ใจของคนเราก็เหมือนกัน
ที่เราพากันนึกพากันคิดตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงวันนี้ ไอ้ความคิดเหล่านั้นมันไม่หายไปไหน มันจะเข้ามาฝังอยู่ที่ใจของเรานี้
เมื่อเข้ามาฝังมากเข้า มากเข้าแล้วทีนี้มันก็ค่อยเปิดเผย มันเปิดเผยออกมาทีหลัง
มันเปิดเผยขึ้นมาเปิดเผยตอนไหน

ตอนที่เรานอนหลับ
เมื่อเวลานอนหลับจิตของเราเข้าภวังค์แล้วมันก็ฝัน
ไอ้ความฝันของเราที่ฝันนี่มันจะมาจากอารมณ์ต่าง ๆ ที่เราสะสมเอาไว้ก่อน มันก็มาให้เราปรากฏ

ทีนี้ในเมื่อเราทำสมาธิแล้วนี่ อารมณ์ต่าง ๆ ที่เราดองเอาไว้นี่มันตะกลายเป็นการกรองขึ้น กรองขึ้น
เหมือนกันกับน้ำอย่างนี้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้กรองมัน มันก็มีแบคทีเรีย มันก็มีเชื้อโรคอะไรต่าง ๆ ปนมา เราดื่มเข้าไปเชื้อโรคมันก็กระจายในตัวของเรา ทำให้ตัวของเราเกิดโรคภัยไข้เจ็บ อันนี้เป็นข้อเปรียบเทียบ

เหมือนกันกับอารมณ์
อารมณ์ที่เข้าไปฝังในใจของเรานี่ เมื่อมันเป็นอารมณ์ที่ไม่ดีมันก็ทำให้สับสนวุ่นวาย อย่างนี้เป็นต้น

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๔๐๑
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๓.๐๒