เมื่อเราประสบปัญหาต่าง ๆ นั้นก็อย่าลืมคิดว่าสมาธิเป็นเรื่องที่ขจัดปัญหาได้โดยแท้จริง

เพราว่าเวลาที่คนวิ่งนี่มันจะมองไปทั้ง ๒ ข้างนี้ไม่ชัดเจนว่าทั้ง ๒ ข้างมันคืออะไร
แต่สำหรับคนที่หยุดอยู่นั้นเราจะต้องรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ๒ ข้างนั้นคืออะไร

เช่นเดียวกับจิตใจของเรา ในเมื่อมันมีอารมณ์มากนั้นเปรียบเหมือนกับการวิ่ง
มันทำให้เราหน้ามืด ทำให้เราตาฟาง ทั้ง ๆ ที่เราหน้าก็ไม่มืด ตาก็ไม่ฟาง แต่ว่าเรากลายเป็นคนหน้ามืดตาฟางก็เพราะเหตุที่ว่าอารมณ์เข้ามาเจือปนมากเกินไป เหมือนกับคนกำลังวิ่งอยู่

เพราะฉะนั้นการที่จะหาทางแก้ไขมันจึงลำบาก เพราะเหตุที่ว่าไม่รู้ว่าไอ้ที่มันเกิดขึ้นมานั้นมันมาจากอะไร
ในเมื่อเวลาที่เราทำสมาธิจิตของเราหยุดแล้วด็เท่ากับคนหยุด ก็จะรู้ทันทีว่าข้าง ๆ ของเรานั่นคืองูน่ะที่มันกำลังเลื้อยมา เราก็หาทางหลบหลีกได้
แต่ถ้าหากว่าเราวิ่งนั้นเรามองไม่เห็น เห็นงูเป็นไม้อย่างนี้ตามันฟาง มันก็ต้องเหยียบเอาเราก็เกิดอันตราย

เพราะเหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนหรือแนะนำให้เราทำสมาธิ
เพราะว่าสมาธินั้นจะทำจิตใจของเราให้เป็นหนึ่ง แล้วทำจิตใจของเราให้นิ่ง

พระพุทธเจ้าที่สอนให้พวกเราทำสมาธินั้นจึงเป็นหนทางที่ถูกต้องแน่นอน
คนที่ไม่ได้ทำสมาธินั้นก็ขอเชิญท่านทั้งหลายให้พากันมาทำสมาธิซะ แล้วการทำสมาธินั้นเราก็ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย นอกจากเสียสละเวลาของเราบ้างมาทำสมาธิ มาเรียนสมาธิ

คนที่ได้มาเรียนสมาธิ มาทำสมาธิ บุคคลนั้นถึงได้ชื่อว่าโชคดี โชคดีที่ว่ามีอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่เราสร้างพลังจิตขึ้น
เพราะการสร้างพลังจิตนั้นเป็นการสร้างอันวิเศษ หรือเรียกว่าสร้างน้ำดีให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะขจัดน้ำเสียที่มีอยู่

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๑๕๗
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๑.๐๕