ทำความดี ความดีก็พัฒนาตัวของเราให้มีค่า
การทำบุญทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเก็บไว้ที่ใจ ไม่ใช่เก็บไว้ที่กาย หรือไม่ใช่เก็บไว้ในตู้ลิ้นชัก เก็บไว้ที่ใจแห่งเดียว
เพราะฉะนั้นบุญก็ดี บาปก็ดี ใจจะเป็นคนนำไป
ด้วยเหตุนั้นเราจะต้องมีความอดทน ขันติคือความอดทน วิริยะคือความพากเพียร อุตสาหะคือความบากบั่น
เมื่อเราสามารถที่จะมีความเพียรมีความอดทนแล้วการต่อสู้ก็ชนะมารได้ มารก็แพ้เรา
มารแพ้เราน่ะดีกว่าเราแพ้มาร
ถ้าเราแพ้มารเราก็ไปทำสมาธิไม่ได้ เราก็ไปทำบุญไม่ได้ เราก็ไปฟังเทศน์ไม่ได้
แต่ว่าเราชนะมารเราก็ไปฟังเทศน์ได้ เราก็ไปทำสมาธิได้ เราก็ไปทำบุญทำกุศลอะไรก็ได้ อย่างนี้นี่เรียกว่าเราชนะไปแล้ว
แต่ทีนี้เมื่อเราชนะแล้วนั่นเราก็ไม่ชะล่าใจ เราก็ต้องชนะไปเรื่อย ๆ
เมื่อเป็นเช่นนั้นร่างกายจิตใจของเราก็ได้ถูกพัฒนาขึ้น
เมื่อเราได้ทำบุญไว้มาก ๆ มีการนั่งสมาธิไว้มาก ๆ กายใจของเราก็ได้รับการพัฒนา พัฒนาขึ้นเป็นสิ่งที่มีค่าขึ้น
ร่างกายของคนเรานี้ถ้าหากว่าทำความชั่วทำบาป เมื่อทำบาปมากเท่าไหร่นี่ร่างกายกับจิตใจของเราค่ามันก็ต่ำลงไป ต่ำลงไป ต่ำลงไป จนกระทั่งเกือบจะเหลือศูนย์ อย่างนี้เรียกว่าต่ำ เขาเรียกว่าต่ำช้า คนต่ำช้ามีแต่บาปอกุศล
แต่ทีนี้ถ้าเราทำความดี ความดีก็พัฒนาตัวของเราให้มีค่า จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน อย่างนี้เป็นต้น
ร่างกายของเรานี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีค่าหาประมาณไม่ได้
ทีนี้ทำไมถึงเรียกว่าเป็นสิ่งที่มีค่า เพราะว่าเต็มไปด้วยอริยทรัพย์
จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๒๗๔
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา
๖๐.๐๙.๑๕
ใส่ความเห็น