กิเลสเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ปิดหูปิดตา

แม้ว่าเราจะลืมตาเดินอยู่เวลานี้แต่ว่าบุคคลผู้นั้นได้ถูกปิดตาเสียแล้ว
ปิดตาก็คือมองไม่เห็น เมตตาก็หายไป ความชอบธรรมก็หายไป ความรู้สึกความเป็นมนุษย์มันก็หายไปอย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นการที่คนจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นน่ะ จิตใจมันเป็นสัตว์เดรัจฉานตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์อยู่แล้ว
มันเป็นมนุษย์ก็จริงแต่ใจมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่รู้จักความชอบธรรม ไม่รู้จักมนุษยธรรม ไม่รู้จักความเมตตากรุณาอะไรเหล่านี้ มีแต่ความเหี้ยมโหด

ทีนี้จิตใจมันก็กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นร่างกายแต่มนุษย์ แต่ใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เพราะฉะนั้นตายไปมันก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นั่นเป็นของที่แน่นอน แล้วก็ไม่คุ้มกันเลยในการที่พวกเขาพากันทำความชั่วเหล่านั้น

ต่างกับคนที่พยายามสร้างความดีอยู่ตลอด ไม่ต้องไปวิตกกังวล คิดเมตตากรุณาสร้างบุญกุศลสร้างสมาธิ

เรารู้ เราพากันมาศึกษาสมาธิ เราก็มีระดับขั้นที่เราจะศึกษากันต่อไป
เมื่อศึกษาไปแล้วหูตามันสว่างขึ้นมาเอง
มันเหมือนกับว่าแต่ก่อนเราได้แต่หลับตา เดี๋ยวนี้เราไม่ได้หลับตาแล้ว
เราลืมตาขึ้นมาแล้วก็เห็นสิ่งต่าง ๆ

เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ได้รู้จักวิถีทางที่เราจะเดินไปสู่ความจริง หรือเรียกว่าสารธรรม
พระพุทธเจ้าได้แสดงถึงธรรมที่เป็นสาระไว้มากมาย เพื่อให้เราพากันปฏิบัติ

เราก็ได้ปฏิบัติตามนั้น แล้วเราก็จะเป็นผู้ที่มีความผ่องใส ปฐมวัยก็ผ่องใส มัชฌิมวัยก็ผ่องใส ปัจฉิมวัยก็ผ่องใส ก็ถือว่าชีวิตนั้นมีค่าแล้ว

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๑๓๔
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๘.๐๕