ชีวิตของคนเรานั้นมีทางอยู่ ๒ แพร่ง

แพร่งหนึ่งนั้นคือทางไม่ดีเรียกว่าความชั่ว
แพร่งหนึ่งนั้นเรียกว่าทางดีคือความดี

ความดีและความชั่วนั้นมีผลแตกต่างกัน
ความชั่วนั้นจะต้องเดินทางไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน
ส่วนทางดีนั้นเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วก็ต้อวไปสู่สวรรค์
สวรรค์คือสถานที่รื่นเริงและมีความสุข อยากได้อะไรคิดเอาก็ได้ เรียกว่าสวรรค์ชั้นเทพ
นอกเหนือจากนั้นเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็มาพบทางที่สุขสันต์ มีความสุขด้วยประการทั้งปวง

ทางที่ทำสมาธิ ทางที่ทำบุญกุศล เป็นทางที่ถูกต้อง ท่านทั้งหลายได้เลือกแล้ว
เมื่อเลือกแล้วเราก็จะต้องรักษา คือรักษาความดีนี้ไว้

ท่านบอกว่าให้รักษาความดีนี้เหมือนกันกับเกลือรักษาความเค็ม

ความดีต่าง ๆ ที่เราสร้างสรรค์ขึ้นนี้มันก็เป็นของยากยิ่ง แต่เราก็ได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อที่จะสร้างความดีเหล่านี้ด้วยความสามารถ
อุปสรรคที่มันมารบเร้าเรานั้นมีอยู่รอบด้าน มันจะมาชักชวนให้ทำความชั่วซะเรื่อยไป

เมื่อเราขาดสติเมื่อไรเราก็ไปเมื่อนั้น
แต่เราไม่ขาดสติ ถึงแม้เราจะยากจน หรือว่าเราจะมีพออยู่พอกิน ยังไงเรารักษาความดีไว้ก็ถือว่าเราได้รักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม

ความชั่วนั้นท่านเปรียบเหมือนกันกับกลิ้งครกลงภูเขา มันเป็นของง่ายโพด พอมันกลิ้งแล้วไม่ต้องออกแรงมันจะกลิ้งเองมันจนถึงตีนเขา

แต่ว่าการทำความดีนั้นเหมือนกลิ้งครกขึ้นภูเขา ต้องออกแรงเหงื่อแตกเหงื่อแตน ถ้าปล่อยเมื่อไรมันก็ลงเมื่อนั้น มันเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นทาง ๒ แพร่งนี้มันอยู่ที่ตัวของบุคคลผู้นั้นจะพึงพิจารณา
พิจารณาว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่มันไม่ใช่ง่ายนักหนา ใครว่ามันง่าย
การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ต้องมี “มนุสสธรรม”
มนุสสธรรม ๒ อย่างคือความละอายแก่บาป ความเกรงกลัวต่อบาป มีอยู่ในใจถึงจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้

คนส่วนมากจะพากันลืมไปเสียว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ค่ามันมากที่สุด

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๑๒๖
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๘.๐๔