พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อได้สัมมาสมาธิแล้ว สัมมาทิฏฐิก็จะต้องเกิดขึ้นโดยการพิจารณาตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบ

เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจึงหาหนทางเพื่อที่จะให้ทุกคนมาทำสมาธิในทางที่ถูกต้อง คือสามารถสร้างพลังจิตขึ้นมาได้

การสร้างพลังจิตนั้นหมายถึงรูปฌานที่เราทำสมาธิ ไม่ลึกเกินไปแล้วก็ไม่ตื้นเกินไป อยู่ในรูปฌาน

รูปฌานนั้นเราจะสังเกตุได้ว่าอย่างปฐมฌานนี้ก็มีวิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคะตา ใช้คำว่าเอกัคคะตา
ทุติยฌานก็ตัดวิตก วิจารออก เหลือแต่ปิติ สุข เอกัคคะตา ก็เอกัคคะตาอีก
แล้วก็มาตติยฌาน พระพุทธเจ้าก็แสดงไว้ว่าเป็นสุขกับเอกัคคะตา ก็เอกัคคะตาอีก
แล้วจตุถฌานก็อุเบกขา เอกัคคะตา ก็เอกัคคะตาอีก

คำว่าเอกัคคะตาคือความเป็นหนึ่ง มีอารมณ์เป็นหนึ่ง หมายความว่าเป็นผู้มีจิตใจสงบ ระงับ สามารถที่จะพิจารณาซึ่งสัจจะธรรมได้
พระองค์จึงได้แสดงไว้เพียงเท่านั้น เพื่อที่จะให้เกิดพลังจิต

เมื่อพลังจิตเพียงพอแล้วก็ดำเนินวิปัสสนาได้
ถ้ากำลังจิตไม่เพียงพอแล้วดำเนินวิปัสสนาก็สูญเปล่า
แต่ถ้าหากว่ามีพลังจิตแล้วก็เกิดผลทันที เหมือนกันกับเราจะยกของหนัก
เมื่อจะยกของหนักแล้วเราต้องมีกำลัง ถ้าไม่มีกำลังแล้วเรายกของหนักมันก็หลังหักเปล่า ๆ
แต่ถ้าหากว่าเรามีกำลังแล้วของหนักก็สามารถที่จะยกได้ อย่างนี้

เหมือนกันกับการทำสมาธิ ในเบื้องต้นเขาเรียกว่าสัมมาสมาธิ
ทำให้เกิดมีพลังจิตเพิ่มขึ้น
การทำให้เกิดพลังจิตเพิ่มขึ้นนั้นไม่ต้องเป็นพระ ไม่ว่าพระ ไม่ว่าเป็นคฤหัสถ์สามารถทำได้

เพราะว่าใจนี่สำคัญ จะเป็นพระหรือจะเป็นผู้ประเสริฐก็อยู่ที่ใจ จะเป็นคนเลวทรามก็อยู่ที่ใจ
เพราะฉะนั้นเมื่อใจของเรามีพลังแล้วก็สามารถที่จะดำเนินการไปตามแนวทางขององค์มรรค ๘ นี้ได้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๕๕
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๒.๑๐