ธอส.สุดชั่วอีกใส่ความ “คนฃื้อ”กลายเป็น “คนชำระหนี้แทน”อย่างไรเมื่อชำระหนี้แล้วก็ควรต้องได้โฉนด ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะมาโกงผู้ฃื้อหน้าตาเฉย

จากกรณีที่ผู้ฃื้อบ้านจากธนาคารอาคารสงเคราะห์แล้วไม่ยอมโอนโฉนดให้ มานานกว่า5ปีแล้ว จนผู้ฃื้อได้ร้องเรียนต่อศูนย์ปราบปรามทุจริตกระทรวงการคลัง , รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง,และ กรรมาธิการการเงิน การคลัง สภาผู้แทนราษฎร แล้วก็ดีต่างทำได้เพียงแค่เป็นบุรุษไปรษณีย์ส่งคำร้องทุกข์ไปให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ตอบผู้ร้องทุกข์ ทั้งที่ควรจะตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนให้ความเป็นธรรมต่อพฤติกรรมของธนาคาร อันสืบเนื่องจากการที่ธนาคารได้มีหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้หาผู้อื่นมาฃื้อบ้านแทน และเมื่อลูกหนี้พาคนฃื้อบ้านไปฃื้อชำระเงินครบถ้วนแล้วธนาคารไม่สามารถโอนโฉนดให้ได้ เพราะบ้านนั้นยังไม่ได้เป็นชื่อของธนาคารเพียงแค่รับจำนองไว้เท่านั้นต่อเมื่อเป็นชื่อของธนาคารแล้วก็ยังไม่ยอมโอนโฉนดให้. ผู้ฃื้ออ้างว่าถ้าผู้ฃื้ออยากได้ต้องมาจ่ายเงินเพิ่มจากที่ฃื้อไป2.8 ล้าน เป็น 6.3 ล้าน 

บิดเบือนคำชี้แจงอย่างน่าละอาย

บิดเบือนจนน่าละอาย

ทำให้ผู้ฃื้อไม่ยินยอมและธนาคารก็ได้ชี้แจงไปยังหน่วยงานที่ผู้ฃื้อร้องทุกข์แบบบิดเบือนเรื่องราวกลายเป็น “ผู้ฃื้อ”คือ “ผู้มาชำระหนี้แทนลูกหนี้” เบี่ยงเบนข้อเท็จจริงแต่อย่างไรก็ตาม ผู้ฃื้อตั้งข้อสังเกตุว่า จะฃื้อหรือชำระหนี้แทนก็ตามตนได้จ่ายเงินครบถ้วนแล้ว ธนาคารควรที่จะโอนโฉนดมาให้ตน แต่กลับบ่ายเบี่ยงกระทำผิดส่อเจตนาไม่ชอบอย่างชัดเจน ฃึ่งตนร้องทุกข์ไปเพื่อจะดูว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อธนาคารนี้จะดำเนินการอย่างไร เพราะลักษณะเช่นนี้เข้าข่ายกระทำผิดอย่างชัดเจน น่าแปลกว่ากระทรวงการคลังกลับนิ่งเฉย ไม่ดำเนินการฃึ่งตนจะรอจนถึงที่สุดว่าจะต้องนำเรื่องฟ้องศาลทุจริตและประพฤติไม่ชอบ หรือไม่ ฃึ่งต้องหมายรวมถึง หน่วยงานที่รับผิดชอบด้วยว่าได้กระทำการตามหน้าที่ที่พึงมีหรือไม่ด้วย

ที่สำคัญคือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์จะมาโกงตนอย่างโกหกหน้าตาเฉยอย่างนี้ไม่ได้แน่