นักบัญชีชื่อดัง“พี่หนอม”โพสต์เฟฃบุ๊คTax bugnoms ตั้งคำถาม เงินกู้ = รายได้ เราคิดแบบนี้ได้จริงๆ เหรอครับ?
นักบัญชีชื่อดัง”พี่หนอม”โพสต์เฟฃบุ๊คTax bugnoms ตั้งคำถามเงินกู้= รายได้เราคิดแบบนี้ได้จริงๆเหรอครับ?
หลังจากศาลรธน.มีคำวินิจฉัยตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่และกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดเป็นเวลา10ปีนั้นพี่หนอมนักบัญชีที่มีประสบการณ์และเป็นนักอบรมเกี่ยวกับการบัญชีชื่อดังได้โพสต์เฟฃบุ๊คTax bugnoms โดยตั้งคำถามว่าเงินกู้= รายได้เราคิดแบบนี้ได้จริงๆเหรอครับ?
พร้อมกับอธิบายว่า
- “เฮ้ยขอยืมเงิน100 บาทดิอีก3 วันคืนให้”
“ให้ยืมนะไม่ได้ให้”
เรามักจะได้ยินประโยคแบบนี้ในหมู่เพื่อนสนิทมิตรสหายเพื่อย้ำว่าการยืมเงินก็คือการยืมเงินไม่ได้เป็นการขอเงินมาใช้ฟรีๆเพราะมีกำหนดระยะเวลาชำระคืนตามสัญญา
เงิน100 บาทอาจจะดูไม่สำคัญอะไร
แต่ถ้าหากยืมเงินกันหลักหมื่นแสนล้าน
ผู้ให้ยืมเงินจะรู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไร
เพราะมันมีผลกระทบความมั่งคั่งของเขา
ถ้าอยากให้เรื่องนี้ดูเป็นจริงเป็นจังสักหน่อยผู้ยืมอาจจะขอทำสัญญาเงินกู้แล้วมีการจ่ายดอกเบี้ยให้ตามสัญญาเพื่อความสบายใจของผู้ที่ให้กู้
ถ้าถามว่าเงินก้อนนี้คือหนี้สินทีต้องใช้หรือรายได้ทีได้รับมากันแน่เชื่อว่าหลายคนก็ตอบได้ชัดเจนเลยว่านี่คือหนี้สินเพราะมันต้องมีการชดใช้คืนตามเวลาที่กำหนดไว้
แต่มันจะเป็นรายได้เมื่อไรกันล่ะ?
- เวลาบริษัทขาดสภาพคล่องหมนุเวียน
แหล่งเงินทุนที่ชอบใช้กันคือเงินกู้ยืมจากกรรมการ
ถ้าเป็นคนที่เรียนบัญชีหรือนักบัญชีทั้งหลายย่อมตอบได้ง่ายๆว่าเงินที่ได้รับมาเป็นหนี้สินที่ต้องชดใช้หรือถ้าจะให้ลงบัญชีก็จะบันทึกรายการแบบนี้
Dr. เงินสด/เงินฝากธนาคาร
Cr. เงินกู้ยืมจากกรรมการ
จากสมการบัญชีสินทรัพย์= หนี้สิน+ ทุน
แม้ว่าเราจะได้เงินมาในฝั่งสินทรัพย์
แต่เงินที่ได้รับมานั้นก็เพิ่มในฝั่งหนี้สินเช่นเดียวกัน
แต่ถ้าวันหนึ่งบริษัทจะเลิกกิจการหรือรู้ตัวว่าไม่สามารถจ่ายคืนเงินให้กรรมการได้รายการนี้จะกลายเป็น”รายได้” ขึ้นมาทันทีโดยลงบัญชีแบบนี้
Dr. เงินกู้ยืมจากกรรมการ
Cr. รายได้อื่น
ดังนั้นคำตอบที่เราจะตอบคำถามได้ว่าเงินกู้จะกลายเป็นรายได้ได้นั้นต้องเป็นเงินกู้ที่ไม่ต้องชดใช้หรือมีการยกหนี้ให้ฟรีๆ
ไม่เช่นนั้นมันก็ต้องเป็นเงินกู้อยู่ในบัญชีต่อไป
- ในมุมของชีวิตและในมุมของบัญชี
เราจะเห็นสอดคล้องกันว่าเงินกู้ไม่มีทางเป็นรายได้
จนกว่าจะเกิดการ”ยกหนี้ให้”
เพื่อให้เงินกู้ยืมเปลี่ยนแปลงเป็นรายได้
หรือไม่ก็เกิดจากการที่”ให้เปล่า” ตั้งแต่แรก
ซึ่งเงินก้อนนี้ก็จะไม่ถูกเรียกว่าเป็นเงินกู้
แต่อาจจะถูกเรียกว่าเป็นเงินได้/รายได้
หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า”เงินบริจาค”
ทีนี้พอมันกลายเป็นเรื่องของพรรคการเมือง
สิ่งทีต้องดูเพิ่มคือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
คำถามคือถ้ากฎหมายไม่มีเขียนเรื่องนี้ไว้
เราจะใช้อะไรตัดสินดีว่ามันคือเงินประเภทไหน?
- มาตรา๖๖ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองเขียนเอาไว้ว่า
บุคคลใดจะบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อพรรคการเมืองต่อปีมิได้และในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นนิติบุคคลการบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคเดียวหรือหลายพรรคเกินปีละห้าล้านบาทต้องแจ้งให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นทราบในการประชุมใหญ่คราวต่อไปหลังจากบริจาคแล้ว
พรรคการเมืองจะรับบริจาคเงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดซึ่งมีมูลค่าเกินวรรคหนึ่งมิได้
นั่นแปลว่าถ้ามีใครสักคนหนึ่งบริจาคเงินให้พรรคการเมืองแล้วเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนดคือ10 ล้านบาทจะถือว่าผิดกฎหมายฉบับนี้
คำถามที่มีต่อเรื่องนี้คือพรรคการเมืองสามารถกู้เงินได้หรือเปล่า? ซึ่งกฎหมายไม่ได้เขียนไว้ชัดเจนว่าสามารถทำได้หรือไม่สามารถทำได้
ถ้าสามารถกู้เงินได้และมีสัญญาถูกต้อง
นี่คือเงินกู้ที่ต้องชดใช้ตามที่สัญญาว่าไว้
แต่ถ้าไม่สามารถกู้เงินได้แม้จะมีสัญญา
จะกลายเป็นว่านี่คือ รายได้จากการบริจาค
สิ่งเหล่านี้คือมุมมองที่น่าหนักใจในการคิดวิเคราะห์และตีความกฎหมายว่าจริงๆแล้วการไม่มีข้อบังคับระบุไว้นั้นมันเป็นเรื่องที่ทำได้หรือทำไม่ได้กันแน่
บางทีแล้วอาจจะต้องมองต่อไปด้วยว่าพรรคการเมืองนั้นถือเป็นบุคคลที่มีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ซึ่งจะทำให้การตีความนี้ชัดเจนขึ้นครับ
(แก้ไขเพิ่มเติม) และรวมถึงหลักกฎหมายมหาชนต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย
ตรงนี้ต้องขออภัยด้วยที่ผมให้ความเห็นต่อไม่ได้ว่าควรตีความเป็นแบบไหนอย่างไร? เพราะส่วนนี้เกินความสามารถของผมไปแล้วครับ
แม้ว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ยากที่สุดในการตีความกฎหมายแต่มันคือสิ่งที่ตอบคำถามได้ดีที่สุดว่าแต่ละคนมองเรื่องนี้ในมุมไหน
5.อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะเขียนประเด็นเรื่องการเมืองแต่เจตนาของผมไม่ได้ต้องการแสดงความคิดเห็นว่า”เห็นด้วย” หรือ”ไม่เห็นด้วย” กับเรื่องนี้เพื่อให้เป็นประเด็นทางการเมือง
เพียงแต่ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้ควรจะเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้และการเข้าใจกฎหมายเพื่อตีความได้อย่างถูกต้องรวมถึงหลักการบัญชีที่น่าสนใจ
ซึ่งถ้าใครคิดเห็นต่างกันไป
สามารถแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ
สุดท้ายนี้ถ้าสิ่งที่ผมเขียนนั้นไม่ถูกใจใคร
ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ?
#TAXBugnoms
ใส่ความเห็น