. แท้จริงคนเรามีความโง่ความบ้าประจำอยู่แล้ว การทำสมาธิจิตนั้นเป็นเรื่องแก้โง่แก้บ้าต่างหาก

ถ้าได้ศึกษาโดยทางที่ถูกต้องย่อมเกิดปัญญาอันบริสุทธิ์เหมือนเพชรพลอยที่เจียระไนแล้ว ย่อมเกิดแสงขึ้นในตัวของมันเองโดยธรรมชาตินั้นแล จึงเรียกว่า เป็นตัวปัญญาที่แท้ เกิดขึ้นเฉพาะตัว ที่เรียกว่าเป็นปัจจัตตัง เป็นได้เฉพาะตัว รู้ได้เฉพาะตัว

แต่โดยมากคนเราเข้าใจผิด ไม่รู้จักลักษณะของปัญญา ไปถือเอาปัญญาไม่แท้ที่เจือปนไปด้วยสัญญามาทับของแท้เสีย
คล้าย ๆ กับว่าเอาปรอทมาทากระจกแล้วมองเห็นเงาของตัวและคนอื่นได้โดยอาศัยของอื่นมาฉาบทา ก็เข้าใจว่าตัวเป็นผู้ฉลาด มองเห็นธรรมลักษณะนี้ก็เท่ากับว่าลิงส่องกระจกเงาเท่านั้นเอง
ตัวเดียวก็จะต้องกลายเป็นสองตัวก็จะเล่นเงาของตนเองอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

ถ้าปรอทหลุดออกจากบานกระจกเมื่อไรลิงตัวนั้นก็จะหน้าตกซบเซาอยู่โดยไม่รู้ว่าเงานั้นมันมาจากเรื่องอะไร

ฉันใด บุคคลผู้ได้ปัญญาที่ไม่แท้ไม่จริง คิดเอา เดาเอาตามสัญญาอารมณ์ว่าตนรู้ตนเห็น โดยปราศจากความรู้สึกตนเองแล้ว ก็จะได้รับความทุกข์โศกในคราวประสบกับเหตุการณ์ที่เกิดเฉพาะหน้าเมื่อภายหลัง

ฉะนั้น ส่วนสำคัญของปัญญาโดยธรรมชาติในทางพระพุทธศาสนา ย่อมเกิดจากการอบรมดวงจิตโดยเฉพาะ

เหมือนแสงเพชรที่เกิดในตัวของมันเอง ย่อมมีรัศมีตีแผ่โดยรอบและเกิดแสงสว่างได้ทั้งในที่มืดและที่สว่าง
ส่วนกระจกเงานั้นใช้ได้สำหรับในสถานที่แจ้งมีแสงสว่างส่องเห็น ถ้าเอาเข้าไปในที่มืดแล้วจะใช้ส่องเงาตัวเองไม่ได้เลย
ไม่เหมือนแสงเพชรแสงพลอยที่เจียระไนแล้ว ย่อมมีแสงได้ทั่วไป

ฉะนั้น พระองค์จึงได้ทรงแสดงไว้ว่า ปัญญาไม่มีที่ลับและปิดบังได้ในโลกนั้นแล เรียกว่า ปัญญารัตนัง เป็นตัวที่จะทำลายเสียได้ซึ่งอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน ก็จะบรรลุคุณธรรมอย่างสูงสุด คือ พระนิพพาน ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่สาบไม่สูญ มีอยู่โดยธรรมชาติของธรรมเรียกว่า อมตธรรม

จากหนังสือ ท่านพ่อลีสอนกรรมฐาน หน้าที่ ๖๕
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
๖๑.๐๘.๑๓