จิตตัง ทันตัง สุขาวหัง จิตขัดดีแล้วอบรมดีแล้ว มีแต่ความสุข
. ไม่จุดไฟมันมืด ไม่มีดวงไฟมันก็มืด บ่เห็นหยัง
จะเก็บข้าวเก็บของเราต้องจุดไฟเจ้าพายุขึ้นเราจึงหาเจอะ บ่จุดมันก็ตะเกียงซื่อ ๆ
นี่ก็เข้าใจว่าดวงไฟมันมืดคือขี้เขม่า มืดก็ต้องขัดเขม่าออก
บ่ขัดออกจุดไปนาน ๆ มันก็มัวหมองไม่สว่างแล้ว
จิตของเราครั้นไม่สงบแล้วก็มืด
ถ้าไม่มีสิ่งที่หมักหมมให้มันเศร้าหมองขุ่นมัวมันก็สว่าง สว่างแล้วเราก็ค้นคว้า
ท่านจึงว่าจิตเดิมธรรมชาติเลื่อมประภัสสร แต่อาศัยอาคันตุกะกิเลสเข้ามาหมักหมม จิตมันจึงขุ่นมัวไป
จะเปรียบเหมือนกับแก้วหรือเพชรนิลจินดาที่เกลือกกลั้วอยู่กับฝุ่นธุลีกับพื้นแผ่นดิน บุคคลผู้ฉลาดมาตรวจว่ามีเพชรพลอยมีบ่อทองคำที่นี่ เขาจะมาขุดขึ้น เอามาเจียระไน จึงเป็นทองคำธรรมชาติ เป็นเพชรเป็นพลอยอันใส
เราต้องตั้งต้นตรงนี้เสียก่อน
ธุลีมันมีอยู่ จิตเดิมมันมีอยู่ ตั้งใจอยู่ แต่ว่ามันเอาสมมติเข้าไปใส่
มันหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วแต่ละมันมืดมันดันมีแต่ฝุ่นธุลี มีโคลนตมเกลือกกลั้วอยู่ ใช้การบ่ได้ ก็เห็นตัวอยู่ชัด ๆ
จิตของเราก็อย่างนั้นแหละ
เมื่อจิตของเราขัดดีแล้ว เพื่อไม่ให้มันหลง ขัดอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไม่ให้ทุกข์เข้ามาขุ่นมัวหัวใจ รักษาใจให้มันสว่างอยู่
จิตตัง ทันตัง สุขาวหัง จิตขัดดีแล้วอบรมดีแล้ว มีแต่ความสุข
จากหนังสือ อนาลโยวาท หลวงปู่ขาว อนาลโย หน้าที่ ๒๙๘
สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
๖๑.๐๗.๑๕
ใส่ความเห็น