การเพิ่มขึ้นของสมาธินั้นเรียกว่าเพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลาในการที่บำเพ็ญ ไม่ว่าเราจะบำเพ็ญมากน้อยเท่าไร

ทีนี้เมื่อสมาธิเกิดขึ้นมาแล้วมันมีสิ่งหนึ่งที่จะเกิดจากสมาธิก็คือพลังจิต
แล้วมันก็มีสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นจากพลังจิตก็คือกระแสจิต
กระแสจิตย่อมที่จะต้องไปทำผลประโยชน์ต่าง ๆ จากที่ความเป็นพลังจิตนั้น คือกระแสจิตนั้นเหมือนกันกับว่าคนที่เขาทำเขื่อน

เมื่อทำเขื่อนเสร็จแล้วเขาก็ทำกังหันเพื่อที่จะให้ผันเป็นพลังงาน
เมื่อเกิดพลังงานแล้วก็เกิดไฟฟ้า
เมื่อเกิดไฟฟ้าแล้วก็เกิดต้นเหตุคือหมายความว่าสถานีของไฟฟ้า แล้วก็จะต้องเกิดกระแสไฟฟ้า
กระแสไฟฟ้าก็ต้องมาทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกเป็นอันมาก อย่างนี้เป็นต้น

เหมือนกันกับที่เราทำจิตของเรา เมื่อเราทำจิตให้เป็นหนึ่งแล้วจิตก็เป็นสมาธิ
เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจิตก็ผลิตพลังจิต
เมื่อจิตผลิตพลังจิตแล้วก็สะสมไว้ที่จิต
เมื่อสะสมไว้ที่จิตแล้วก็เพิ่มขึ้นตามลำดับกลายเป็นกระแสจิต
กลายเป็นกระแสจิตก็จะต้องเป็นสติบ้าง เป็นปัญญาบ้าง เป็นฌานบ้าง เป็นญาณบ้าง สามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้แก่บุคคลผู้นั้น

เมื่อเราทำเอาไว้มากน้อยเท่าไหร่นี่เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสำรวจตัวเราเองว่าเราได้ทำมากน้อยเท่าไหร่
นี่เราทำมากแล้ว นี่เราทำน้อยแล้วก็อยู่ที่ตัวของเรา

อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าตรัสว่า มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี
หนทางกลาง พระพุทธเจ้าได้เห็นแล้วด้วยญาณว่าหนทางกลางนี่เป็นสิ่งที่มีความสำเร็จได้

การปฏิบัติหนทางกลางเป็นสิ่งที่เราสมควรทำเป็นอย่างยิ่ง

หนทางกลางนั้นถ้าจะแปลให้ถูกต้องคือหนทางพอดีนั่นเอง
สิ่งใดที่มันเกินพอดีไปมันก็ไม่สำเร็จ
สิ่งใดที่มันน้อยเกินไปก็ไม่สำเร็จ
สิ่งใดที่มันมีความอยู่พอดีนี่คือความสำเร็จ

เพราะฉะนั้นเราก็สำรวจชีวิตของเราว่าเราได้ทำความพอดีให้เกิดขึ้นแก่ตัวของเราหรือยัง
ถ้ายังก็พยายามที่จะกระทำให้เกิดขึ้น

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่มแรก หน้าที่ ๒๓๑
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๔.๒๒