เราทุกคนเราปรารถนาอะไร

ทุกคนเราปรารถนาความสุข
เพราะฉะนั้นจึงได้ไขว่คว้าหาสิ่งใดที่จะทำให้จิตใจของเราชุ่มชื้น ก็คือการสร้างกุศล

สร้างกุศลให้แก่ตนของเรานั้น นึกขึ้นเมื่อไรเราก็ปลาบปลื้มใจ
เราเคยได้ช่วยคนตกทุกข์ได้ยากให้เขาได้พ้นจากทุกข์ เราก็สบายใจ
เราเคยทำบุญทานกองการกุศลต่าง ๆ เราก็สบายใจ
เราได้เคยทำสมาธิภาวนาให้แก่เรา เราก็สบายใจ

สิ่งสบายใจนั้นมีอยู่ในพระพุทธศาสนานี้เยอะแยะที่เราจะไขว่คว้าหาได้
เพราะฉะนั้นท่านจึงให้พิจารณาว่าเราเกิดมาทำไม

ถ้าหากว่าเราจะตอบให้ถูกก็คือเราเกิดมาเพื่อให้ถึงซึ่งความสุข ประสบความสำเร็จ

เขาว่าความสำเร็จนั้นมันมีหลายอย่าง เราลองคิดดูถ้าเราทำงานไม่สำเร็จเราก็เรียกว่าไม่สำเร็จ
แต่ถ้าเราทำงานสำเร็จเราก็ถือว่าตรงจุดเป้าหมาย
ทีนี้เมื่อชีวิตของเรานี่ไปพบความสำเร็จเข้าก็ถือว่าเราบรรลุผล บรรลุผลที่เราต้องการ

สิ่งที่เราต้องการนั้นบางทีมันก็ทำความทุกข์ให้เราภายหลังได้
บางทีมันก็ทำความสุขให้เราภายหลังได้

ในที่สุดก็ไม่มีอะไรที่จะดีเกินไปกว่าที่เราสร้างกุศลให้แก่ตัวของเราคือสร้างบุญ

การสร้างบุญสร้างไปทำไม

สร้างไปเพื่อที่จะเก็บสะสมไว้ที่ใจของเรา
เราจะต้องเข้าใจว่าเราเกิดมานั้นเราได้เกิดมาหลายภพ หลายชาติ ชาติก่อนแล้วก็มาชาตินี้ แล้วเราจะต้องไปชาติต่อไปอีก
เพราะว่าคนเรานั้นตายก็ตายไปเฉพาะแต่ร่างกายเท่านั้น ใจไม่ได้ตายตามร่างกายนี้ไปด้วย
เมื่อใจไม่ได้ตายตามร่างกายนี้ไป ใจก็จะต้องไปเกิด

เพราะฉะนั้นในตัวของเรานี้จึงมีกายอยู่ ๒ กาย

กายที่เราพากันใช้อยู่เวลานี้เขาเรียกว่ากายหยาบ มีตา หู จมูก ลิ้น อะไรต่าง ๆ นี้มีสัมผัส นี่เขาเรียกว่ากายหยาบ

ทีนี้กายละเอียดนั้นจะมีอยู่ในตัวของเราของเรานี่ กายละเอียดนั้นจะทำหน้าที่ให้เราพากันนอนหลับ
เมื่อเวลาที่เรานอนหลับนั้นเราจะอยู่กับกายละเอียด คือเรียกว่ากายทิพย์
ถ้าหากว่าเราตื่นขึ้นมาแล้วเราก็ออกจากกายทิพย์มาสู่กายหยาบที่เราพากันนั่งอยู่นี่
แล้วก็กายทิพย์นั่นน่ะก็เหมือนกันกับกายหยาบ แต่ว่าเรามองไม่เห็น
คนที่เขาทำสมาธิมีกำลังจิต มีพลังจิตสูง แล้วเขาก็ได้ดวงตาทิพย์ เขาเรียกว่าดวงตาทิพย์น่ะ
เมื่อทำสมาธิได้ดวงตาทิพย์เขาก็จะเห็นกายละเอียดว่ามันเป็นยังไง อยู่ที่ไหน
แต่ถ้าหากเราไม่ทำสมาธิเราก็ไม่มีวันเห็น ตลอดจนกระทั่งวันเกิดถึงวันตาย

ทีนี้พอเวลาตายแล้วกายทิพย์นี่จะออกจากร่างพร้อมทั้งวิญญาณ

ทีนี้ถ้าหากว่าเราทำบาปอกุศล เมื่อเราทำบาปกายทิพย์ก็จะต้องเป็นคนรับ
เมื่อเราเราทำบุญกายทิพย์ก็ต้องเป็นคนรับ

เพราะว่ากายทิพย์นั้นไม่สามารถที่จะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับภายนอกได้ นอกจากอยู่ในความรู้สึกเท่านั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาที่เราทำบาปแล้วนี่ กายทิพย์นี่ก็จะต้องรับไปเต็ม ๆ แล้วเราก็จะต้องไปนรกบ้าง อาจจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “กัมมัง สัตเต วิภะชะติ ยะทิทัง หีนัปปะณีตะตายะ”
กรรมนั่นแหละย่อมจำแนกสัตว์ให้ไปในทั้งทางดีและทางชั่ว

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๓๘๒
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๒.๒๗