โอวาทานุสาสนี คำสอนของพระพุทธเจ้าแก้ความทุกข์ ความเดือดร้อนเหล่านี้ให้แก่สรรพสัตว์
พระพุทธเจ้าเรียกว่าพ้นทุกข์

การที่พ้นทุกข์นั้นน่ะก็หมายความว่าต้องมีเหตุ ถ้าไม่มีเหตุเราก็พ้นทุกข์ไม่ได้

เหตุที่จะต้องพ้นทุกข์ให้ได้นั้นก็คือการทำจิตใจของเราให้สะอาด อย่าให้อติมานะ ความถือตน ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันมีกำลังแรงมากเกินไป ระงับมันลงไป
ระงับมันลงไปด้วยการทำจิตใจให้สะอาด

การทำยังไงจิตใจของเราถึงจะสะอาดได้
เราก็ต้องรู้จักว่าทำไมใจของเราถึงไม่สะอาด มันต้องรู้
เราเองต้องรู้ตัวเราเองว่าทำไมถึงไม่สะอาด

เมื่อไม่สะอาดแล้วทำไมไม่ชำระล้าง แล้วไปส่งเสริมเพิ่มเติมความสกปรกให้แก่ใจไม่หยุดยั้ง
มันยิ่งส่งเสริมความสกปรกให้แก่ใจมากเท่าไหร่นี่ความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นมากเท่านั้น
ไม่ใช่วุ่นวายตัวคนเดียว วุ่นวายคนอื่นด้วย แล้วก็วุ่นวายต่อสังคม นั่นเขาเรียกว่าความสกปรก

เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็นธรรมะที่เรียกว่าชำระล้างความสกปรกเหล่านี้ออกไปจากจิต
เมื่อชำระล้างออกไปจากจิตคนหนึ่งก็ดี สองคนก็ดี ร้อยคนก็ดี พันคนก็ดี ความสะอาดมันก็เกิดมากขึ้น
เมื่อความสะอาดเกิดมากขึ้นแล้วอะไรจะเกิดขึ้น

ความสุขทั้งหลายก็เกิดขึ้นแก่เขาเหล่านั้น
ความสุขทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์เราสามารถทำได้
เพราะว่ามนุษย์เรามีจิตใจสูงอยู่แล้ว ถ้าหากว่ามาเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าซะ พากันทำจิตใจของเรานี้ให้สะอาด

เรารู้แล้วว่าความสกปรกมันเกิดขึ้นจากอารมณ์ เกิดขึ้นจากทิฐิมานะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง และสิ่งเหล่านี้จะขจัดได้ด้วยพลังจิต

เมื่อบุคคลผู้ใดสร้างพลังจิตมาได้แล้วจะสามารถระงับได้ แล้วก็สามารถขจัดออกไปได้ มันเหมือนกันกับว่าน้ำดีขจัดน้ำเสีย
ก็เหมือนกันกับเราสามารถทำสมาธิให้เกิดขึ้น จนกระทั่งมีพลังจิตเกิดขึ้นมา

สมาธิที่ทำให้เกิดพลังจิตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยาก ไม่ยากแก่คนทั้งหลายที่จะทำ
เพราะเหตุว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นพระองค์ไม่ได้ตรัสธรรมะที่เหลือวิสัยของมนุษย์จะทำได้
พระองค์นั้นได้ตรัสธรรมะของพระองค์นั้นให้พอเหมาะพอดีกันกับมนุษย์ทั้งหลายอยู่แล้ว

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๓๑๑
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๒.๑๐