สตินั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้คนนี่มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

ถ้าหากว่าขาดสติมาก ๆ เข้านี่เขาเรียกว่ามนุษย์จะไม่สมบูรณ์
ที่ขาดสติไปเลยก็คงจะต้องเป็นบ้าใบ้อะไรไปตามเรื่อง นี่คือสติ

สตินั้นก็เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง หรือจากการอ่าน จากเขียน อะไรต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เรามีสติขึ้น
เราอาจจะได้ไปอ่านหนังสือธรรมะบ้าง เราอาจจะได้ไปฟังธรรมะบ้าง สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นสิ่งที่ชุบ คือเรียกว่าชุบสติของเราให้ดีขึ้น หรือว่าอบรมสติของเรานี้ให้แก่กล้าขึ้น

การที่เราต้องเสียประโยชน์ให้แก่ตัวของเรานั้นโดยความที่เสียสติ เสียสติไปครั้งหนึ่ง ครั้งหนึ่งนั้นก็อันตรายต่อเรามาก
บางคนเสียสติโดยการไปดื่มกินสุราอย่างนี้ก็เรียกว่าขาดการยับยั้ง แล้วก็เสียสติไปแล้ว หรือไปเสพยาเสพติดอย่างนี้ก็ทำให้เสียสติไปแล้ว หรือเราพากันไปทำบาปต่าง ๆ โดยที่เราไม่รู้ว่าจะทำยังไง เราก็ทำบาปไปแล้ว อย่างนี้ก็เรียกว่าขาดสติไป

เพราะฉะนั้นเราจึงต้องพยายามที่จะอบรมหรืออบอินทรีย์ให้สติของเราอย่างนี้แก่กล้าขึ้น
เมื่อสติแก่กล้าขึ้นมาแล้วนี่สตินั่นแหละที่จะคุ้มครองไม่ให้เราต้องพลาดพลั้ง

ด้วยเหตุดังกล่าวนักปราชญ์ทั้งหลายจึงมีการขวนขวาย ขวนขวายแสวงหา
แสวงหาอย่างไร แสวงหาด้วยการดูหนังสือบ้าง
แสวงหาด้วยการฟังพระธรรมเทศนาบ้าง
แสวงหาด้วยการปฏิบัติทางด้านจิตใจบ้าง
เหล่านี้เป็นการแสวงหาที่ถูกต้อง
แล้วเราทำอย่างไรถึงเราจะแสวงหาสิ่งเหล่านั้นไปในชีวิตของเราชั่วชีวิต

เพราะว่าชีวิตของเรานี้เมื่อเรามีชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ ในวันต่อไปเราก็จะต้องมีการทำอย่างไรอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าวันคืนล่วงไปเปล่า ๆ ต้องมีอะไรที่จะทำให้เกิดในชีวิตที่มันล่วงไปนั้นให้มันเป็นเรื่องเป็นราวแก่ชีวิตของเราว่าเราได้ทำสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตน แล้วเป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้อื่น

การที่ทำได้เช่นนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีสติ

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๓๐๗
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๒.๐๗