ความดีนั้นถ้าใส่ไปในตัวของเรามาก ๆ เขาเรียกว่าบุคคลที่มีค่า
ความดีนั้นถ้าใส่ไปในตัวของเรามาก ๆ เขาเรียกว่าบุคคลที่มีค่า
ถ้าหากว่าความชั่วต่าง ๆ เรียกว่าบาปอกุศลใส่ลงไปในตัวของเรามาก ๆ ตัวเราก็กลายเป็นความชั่ว ไร้ค่า
ถ้าเป็นความชั่วแล้วมันจะไม่มีค่า
ถ้าเป็นความดีแล้วมันจะมีค่า
เหมือนเพชร เพชรเม็ดหนึ่ง เท่าโป้งมือนี่มันก็หลายล้าน แต่ว่าดินทรายก้อนเท่าบาตรมันก็ราคาไม่กี่ตังค์ แตกต่าง
ความแตกต่างอันนี้เกิดขึ้นจากตัวของเราที่เราจะปรับปรุงตัวของเราให้มีค่ายิ่งขึ้น
การที่มีค่าไม่ใช่ว่ามีค่ามีราคาเฉย ๆ แต่ว่าเป็นสิ่งที่นำสุขมาให้
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า “ปุญญานิ ปะระโลกัสมิง ปะติฏฐา โหนติ ปาณินัง”
บุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
บุญก็คือความดี ความดีที่เราใส่ตัวของเราไปเยอะ ๆ
แล้วการที่เราจะใส่ตัวของเราเข้าไปเอาบุญ เอาความดีใส่ตัวของเราให้เยอะ ๆ นั้นเราจะทำอย่างไร
วันนี้ก็ทำ พรุ่งนี้ก็ทำน่าเบื่อหน่าย แต่ว่านักบุญทั้งหลายไม่เบื่อหน่ายในการทำบุญ ไม่เบื่อหน่ายในการทำความดี
นี่เรียกว่ามีขันติคือความอดทน มีวิริยะคือความพากเพียร มีอุตสาหะคือความบากบั่นให้เรากลายเป็นนักบุญ
เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาสที่เราจะทำเช่นนั้นได้เมื่อไหร่ เราควรจะต้องหาโอกาสทำให้แก่เราในทุกโอกาสที่เราจะทำได้
พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่าชีวิตของคนเรานี้น้อยนักหนา
ให้พึงรู้ว่าลมหายใจเข้าไม่ออกก็ตาย ลมหายใจออกไม่เข้าก็ตาย อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น
มนุษย์เราหมดลมหายใจเมื่อไหร่ก็เรียกว่า “นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง” ร่างกายของเราก็เปรียบเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน ก็ยิ่งกว่าเพราะว่าเปลืองไม้เปลืองฟืนที่จะต้องเผา อะไรอย่างนี้เป็นต้น
จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๗๑
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
สวนพนาสนธิ์ ๓ /ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา
๖๐.๑๒.๑๙
ใส่ความเห็น