พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ธัมมปิติ สุขัง เสติ”

ธรรมะก็แปลว่าธรรมส่วนดี ปิติก็แปลว่าความอิ่มเอิบ สุขังก็แปลว่าความสุข

ความสุขนี่ ความอิ่มเอิบนี่ ในธรรมนี่มีความสุขมากกว่าสิ่งอื่น
เพราะว่าความสุขที่เกิดขึ้นในธรรมนี้เป็นความสุขที่มีความเยือกเย็น และเป็นความสุขที่เป็นอมตะ คือความไม่ตาย แล้วก็ยังเป็นบุญกุศล แล้วก็ยังทำให้จิตใจของบุคคลนี้ผ่องใสขึ้น ไม่เศร้าโศก

เพราะฉะนั้นธรรมะมีมากเท่าไหร่เราก็ควรที่จะต้องศึกษา ศึกษาธรรมะต่าง ๆ

ธรรมะต่าง ๆ นั้นเมื่อกล่าวโดยย่อก็มีศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา นี่เขาเรียกว่าเป็นส่วนธรรม
นอกจากนั้นก็คือกตัญญูกตเวทิตา การรู้จักบุญคุณของท่านผู้ที่มีคุณ นี้ก็ถือว่าเป็นธรรม
แล้วก็นอกจากนั้นก็คือความมีเมตตาที่เกิดขึ้นในจิตใจ นั้นก็เรียกว่าเป็นธรรม
ความเมตตานั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๒ ประการ เมตตาตนและเมตตาผู้อื่น

เมตตาตนนั้นมีความสำคัญ ทุกคนจำเป็นที่จะต้องพึ่งตนมันเป็นเรื่องใหญ่
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ”
การที่ตนเป็นที่พึ่งของตนเป็นสิ่งสำคัญ
เราพึ่งคนอื่นได้นั้นชั่วคราว แต่เราพึ่งตนนั้นได้ตลอดชาตินี้ชาติหน้า
เพราะฉะนั้นการที่เรามีเมตตาตนจึงเป็นธรรมอันประเสริฐข้อหนึ่ง

เมื่อเมตตาตนสำเร็จแล้วเราก็ต้องเมตตาคนอื่น มิฉะนั้นแล้วเมตตาจะไม่สมบูรณ์
เมื่อเราได้มีความสุขแล้วเราก็เฉลี่ยความสุขของเราแบ่งปันแก่คนอื่นด้วย อย่างนี้ถือว่าการอยู่ร่วมโลกด้วยกันนั้นก็จะเป็นสุข

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๒๒๘
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๑.๒๕