พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสแก่สาวกว่า วันคืนที่ล่วงไป ๆ นี่บัดนี้เราทำอะไรอยู่ มีอะไรที่เราได้สะสมไว้บ้าง อันนี้เป็นประการสำคัญ

เมื่อวันคืนที่ล่วงไปนี่ล่วงไปโดยที่ว่าเราได้ทำสมาธิ เราได้ทำบุญบางอย่าง เราได้สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ นั่นคือชีวิตที่ผ่านไปด้วยดี

ทีนี้ถ้าหากว่าเป็นชีวิตที่จะต้องเกิดความโศรกเศร้า เป็นชีวิตที่จะต้องมีการสูญเสีย เป็นชีวิตที่จะต้องมีความระเหเร่ร่อน เป็นชีวิตที่จะต้องระทม จิตใจระทมนั่นก็แสดงว่าชีวิตเกิดการเสียหาย

เมื่อเกิดการเสียหายก็หายไปปีหนึ่งเปล่า ๆ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมันทำให้กระทบกระเทือนจิตใจ ทำให้จิตใจนี่หดหู่
การหดหู่นั้นเพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบางคนก็โรคภัยไข้เจ็บ โรคภัยไข้เจ็บก็เป็นตัวการที่มาบั่นทอนชีวิต

เพราะฉะนั้นคนโบราณเขาถึงบอกว่าการสร้างสะพานให้คนข้ามเขาว่าต่ออายุ ต่อชีวิต อะไรอย่างนี้เป็นต้น
แต่การที่จะต่ออายุ ต่อชีวิตนี่หลวงพ่อว่าทำสมาธิจะเป็นการต่อชีวิตได้มากกว่าอย่างอื่น

เพราะว่าเวลาเราทำสมาธินี่มันไม่เกิดการฟุ้งซ่าน
การฟุ้งซ่าน การกังวลนี่มันบั่นทอนชีวิตของเรา

เพราะว่าความกังวลของใจ ไอ้นั่นนิดก็กังวล ไอ้นั่นหน่อยก็กังวลเพราะว่าจิตขาดสมาธิ
พอความกังวลเกิดขึ้นแล้วใจมันก็เสีย

การทำสมาธินี่จึงมีประโยชน์มหาศาล นอกจากว่าเราจะได้บุญแล้วก็ยังเป็นการต่ออายุได้ด้วย แล้วก็ยังเป็นการทำให้จิตใจไม่ชอกช้ำด้วย

สมาธินี่มันทำให้เกิดความสุข
นอกจากทำให้เกิดความสุขก็เป็นการรักษาโรค
นอกจากรักษาโรคมันก็ทำให้กระชุ่มกระชวยชีวิต
แล้วนอกจากนั้นก็เป็นบุญ เป็นวาสนา เป็นบารมีพร้อมเลย

สำหรับการทำสมาธินี่มันจะทำให้ชีวิตของเรามีค่าแล้ว ทำให้ชีวิตของเรากระชุ่มกระชวย ทำให้ชีวิตของเราเกิดความสุข ทำชีวิตของเราให้ได้รับประโยชน์มีคุณค่า พัฒนาให้เกิดคุณค่าขึ้นมา
แล้วการทำสมาธิก็ไม่ยากด้วย ไม่ใช่ของยากที่เราจะต้องไปลงทุนอะไรมากมาย เพียงแต่ว่าเรามีกายกับมีใจเราก็สามารถทำสมาธิได้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๙๗
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓ /ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๐.๒๓