อย่า! เสียชาติเกิด จงหมั่นทำความดี
เราจงพากันสังเกตุชีวิตของเราเถอะว่าชีวิตของเราที่ผ่านมานี้มันผ่านอะไรมาบ้าง
มันทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งทุกข์ทั้งสุข ทั้งสำเร็จทั้งไม่สำเร็จ ทั้งอะไรต่ออะไรต่าง ๆ เราก็จะได้รับประสบการณ์จากชีวิตมากมายที่สุด
ในเมื่อเราหันจิตตัวของเราเข้ามาสู่ธรรมะ แม้เราจะปฏิบัติภารกิจมีหน้าที่เป็นผู้จัดการ มีหน้าที่เป็นนักการเมือง เป็นผู้ปกครองประเทศ มีหน้าที่เป็นข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว มีหน้าที่เป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน หรืออะไรต่าง ๆ เหล่านี้
ทุกอย่างที่เรามีหน้าที่ ทุกอย่างที่เราทำไปนั้นสมาธิจะเข้าช่วยหน้าที่เหล่านั้นให้เราประสบความสำเร็จ
สมาธิจะสามารถเข้าไปทำสมองของเรานั้นให้เกิดความปราดเปรื่อง
เมื่อเกิดความปราดเปรื่องแล้วเขาก็จะกลายเป็นนักการเมืองที่ดี เขาจะกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เขาจะกลายเป็นผู้จัดการบริษัทที่ดี แล้วเขาก็จะเป็นผู้นำที่ดี
ก็เพราะเขาได้นำธรรมะเข้าไปสู่ใจของเขา
เราต้องการเช่นนั้นเราจึงได้ประกาศเพื่อที่จะให้บุคคลทั้งหลายพากันมาปฏิบัติธรรมะ เพื่อให้เกิดตาใน เรียกว่าธรรมจักษุ
เพราะว่าการทำสมาธินั้นทุกคนจิตมันจะต้องเข้าไปสู่ภวังค์
เมื่อจิตเข้าสู่ภวังค์แล้วนี่มันจะเข้าไปคลุกคลีอยู่กับอาทิสมานกาย
เมื่ออาทิสมานกายได้รับพลังจิตจากการที่สร้างพลังจิตขึ้นแล้ว อาทิสมานกายก็จะกลายเป็นตาทิพย์ กลายเป็นหูทิพย์ เราเรียกว่าธรรมจักษุ ตาสว่าง
เมื่อสว่างแล้วก็มองเห็นทางว่าอ๋อชีวิตของเรานี่ต้องเดินไปอย่างนี้ ถูกต้องแล้ว
เราก็จะภาคภูมิใจเราว่าเราได้ทำในสิ่งที่เราเกิดมานี้ไม่เสียชาติเกิด
การที่บุคคลสร้างความชั่ว ความไม่ดีนั้น เขาเสียชาติเกิด เกิดขึ้นมาแล้วจากชาตินี้ไปเขาก็ต้องไปตกนรกเป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสิ่งที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
แต่การที่สร้างบุญกุศล สร้างคุณงามความดีนั้นเมื่อละจากอัตภาพนี้ไปแล้วเขาจะต้องไปเสวยความสุข นี่มันแตกต่างกัน
จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๔๔
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
สวนพนาสนธิ์ ๓ /ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา
๖๐.๑๐.๐๖
ใส่ความเห็น