เมื่อเรามาเป็นมนุษย์อย่างนี้ เราได้ทำความดีแล้วเรานั่นแหละจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่อีก

เพราะฉะนั้นเมื่อเราพากันเข้าใจเหตุผลเหล่านี้แล้ว เราลองคิดดูว่าเวลานี้ตัวของเราเป็นอะไร

ถ้าเรามองเห็นคนต่าง ๆ เหล่านี้เขากำลังจะทำความผิดเราก็ไปช่วยตักเตือนเขาด้วยความเมตตา
จะตักเตือนยังไงก็สุดแล้วแต่ แต่ทีนี้การที่เขาว่า “ทำบุญให้โทษ โปรดสัตว์ได้บาป” มันก็มีเหมือนกัน

ไปแนะนำคนอื่น แต่ว่าไปแนะนำไปแนะนำมาเขาก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็เลยตีกัน อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้อง

เราตักเตือนคนอื่นเราก็ตักเตือนได้ แต่ว่าตักเตือนด้วยวิธีการนโยบายพอที่จะให้เขาละความชั่วต่าง ๆ
แต่อะไรก็ไม่ดีเท่าชวนเขามาทำสมาธิ

เพราะทำสมาธิผลิตพลังจิตได้แล้วพลังจิตเข้าไปสะสมที่จิต
เมื่อสะสมที่จิตแล้วพลังจิตก็จะไปแก้ความผิดเอง

ความผิดทั้งหลายมันก็แก้ได้ เพราะว่าคนเรานั้นถ้าผิดมาแล้วแก้ แก้แล้วเขาเรียกว่าต้นคดปลายตรง
เมื่อต้นคดปลายตรงถือว่าเป็นความดี

พระพุทธเจ้าตักเตือนพวกเราอีกคำหนึ่งว่า “ปุญญานิ ปะระโลกัสมิง ปะติฏฐา โหนติ ปาณินัง”
บุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า

บาปไม่เคยเป็นที่พึ่งแก่ใคร
บาปทำให้ตัดทอนชีวิตให้สั้น
บาปทำให้เงินทองฉิบหายวายวอด
บาปทำให้บ้านถูกไฟไหม้ น้ำท่วมอะไรต่าง ๆ ก็เสียหายย่อยยับ เรียกว่าพวกบาปทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นบาปไม่เคยปราณีใคร

บุญก็เช่นเดียวกัน บุญก็ส่งเสริมให้คนมีความสุข
แม้จะไปเกิดชาติใดฉันใดก็เกิดความสุข
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าบุญนี้แหละเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๒๙๙
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๙.๒๒