อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของเราฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ไปตามสิ่งที่ยั่วยวนต่าง ๆ นั้นเรียกว่าเป็นอารมณ์

เมื่ออารมณ์มีมากมันก็หุ้มห่อหัวใจของเรานี้ให้ตาของเรานี้ก็มืดลงไป มืดลง แม้ว่าตาของเราจะมองเห็นอยู่ตาเนื้อเรามองเห็นอยู่ แต่ว่าตาในก็มืดไป
เมื่อตาในมืดไปแล้วนี่มันก็ส่งผลเรามองไปในทางที่ผิด

เพราะว่าคนที่เอาผ้ามัดตาแล้วก็เดินนี่มันจะเดินไม่ถูกทาง แต่คนที่ลืมตาแล้วไม่มีอะไรมาบังตานี่ก็สามารถเดินไปตามทางได้
เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาที่อารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาหุ้มห่อจิตใจของเราแล้วมันก็เท่ากับว่าเราได้ปิดตาของเราเอง ไม่มีใครปิดแต่ว่าเราก็ปิดตาของเราเอง ทั้ง ๆ ที่เรามีตาหนังคือตาข้างนอกนี่ลืมอยู่ แต่ว่าตาในนั้นได้ถูกปิดซะแล้ว มันก็เลยมืดมน มองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี ทำให้เกิดมีจิตใจเป็นบาปกรรม อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ทำสมาธิแล้วเราก็กำจัดอารมณ์เหล่านี้ออกไป
เมื่ออารมณ์มันออกไป ๆ ๆ แล้วในที่สุดมันก็หมดอารมณ์ มันก็เป็นสมาธิ
เมื่อเป็นเช่นนั้นได้แล้วตาของเราก็สว่าง ตาของเรานี่มันจะสว่างขึ้น สว่างขึ้นเพราะเราหมดอารมณ์
แล้วทีนี้เราก็มองเห็น ตาเรานี้ก็กลายเป็นเขาเรียกว่า “ธรรมจักษุ” กลายเป็นตาทิพย์ มองเห็นสิ่งนี้ถูก มองเห็นสิ่งนี้ผิด เราก็สามารถเดินไปในทางที่ถูกได้

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะชำระล้างให้ตาของเราสว่างขึ้น ให้มีดวงตาเห็นธรรมนั้นก็ต่อเมื่อเราได้ละอารมณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่นี้ให้หมดไป
เมื่อเราจะชำระอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้ซักกี่นาที ถ้าเราทำขณิกะมันก็ได้ ๔ นาที ๕ นาที อารมณ์มันก็กลับเข้ามาใหม่
แต่ถ้าเราพยายามทำไปถึงอุปจาระสมาธิทีนี้มันก็ได้เป็นชั่วโมง ได้เป็นวัน ตาของเราก็จะสว่างได้เป็นวัน เราก็ทำงานที่เป็นทางที่ถูกต้องได้มากขึ้น

เพราะว่าตาของเราสว่างขึ้นมาแล้ว สว่างด้วยการที่เราทำจิตของเราให้เป็นสมาธิ
เมื่อเรามีความชำนาญในการทำสมาธิมากขึ้น อารมณ์ต่าง ๆ นี้มันก็ผ่านฉุย ๆ ๆ ไปโดยที่ไม่เข้ามาเบียดเบียน โดยที่ไม่เข้ามาทำร้าย โดยที่ไม่เข้ามาทำอันตรายแก่ตัวของเรา
ก็เนื่องจากว่าเรามีพลังจิตที่สามารถคุ้มครองจิตใจของเราได้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๒๔๘
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๙.๐๓