ท่านทั้งหลายการที่เราได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็จะต้องมีสติมีปัญญา ว่าเราสมควรที่จะแก้ไขตัวของเราอย่างไรถึงจะได้รับประโยชน์

ไม่ต้องไปเกิดเป็นขี้ข้าเขา ไม่ต้องไปเกิดเป็นคนขอทาน แล้วเกิดไปก็มีฐานะพอมีพอกินก็ใช้ได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นัตถิ ปัญญา สมาอาภา” แสงสว่างเกินกว่าปัญญานั้นไม่มี

เราใช้ปัญญาของเราพินิจพิจารณาว่าในวันและคืน เดือนและปี เราจะทำบุญกุศลอันใด
เราจะทำสมาธิอย่างไร
เราจะทำอะไรมันถึงจะเป็นคุณค่าที่เราสามารถนำติดตนตามตัวเราไปได้

เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นได้ทรงตรัสว่าชาตินี้มีจริง ชาติหน้ามีจริง ไม่ใช่ว่าเราตายไปแล้วก็แล้วกัน
จิตของเราไม่ได้ตายตามร่างกายนี้ไปด้วย
จิตของเราก็จะต้องไปเกิดเป็นคนที่เราจะต้องต่อสู้ฝ่าฟันชีวิตไป
เมื่อเราฝ่าฟันชีวิตไปในทางที่ถูกต้องก็ไม่ต้องไปเป็นคนขอทาน ไม่ต้องไปตกระกำลำบาก

ด้วยเหตุนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงตรัสว่า “อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ”
ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

พวกเราทั้งหลายความแก่ความตายนั้นท่านเปรียบเหมือนกันกับว่านายโคฆาตที่จะนำเข้าสู่หลัก
นายโคฆาตคือพวกที่จะฆ่าโค มันก็จูงไปสู่หลักเพื่อที่จะฆ่าเอาเนื้อหนังมาขาย อย่างนี้
การก้าวไปของโคนั้นกี่ก้าว ก้าวไปสู่หลัก ก็คือก้าวเข้าไปหาความตาย

เหมือนกันกับชีวิตของคนเรานี้ก็จะก้าวไปหาความตาย
ก้าวไปก็คือพระอาทิตย์แดงขึ้นมา นั่นแหละหมดไปแล้ววันหนึ่ง
อาทิตย์แดงขึ้นมาหมดไปแล้วอีกวันหนึ่ง
อาทิตย์มาหมดไปแล้วอีกวันหนึ่ง มันก็ใกล้ไป ๆ อย่างนี้เป็นต้น

พิจารณาอย่างนี้ได้แล้วก็พากันสร้างคุณงามความดีให้แก่ตนเท่าที่สามารถจะพึงทำได้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๑๙๖
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๘.๑๘