การชนะมาร
การที่จะก้าวล่วงมารได้นี่บุคคลนั้นต้องมีพลังจิต มีพลังจิตที่ทำจากสมาธิ ถ้าหากขาดพลังจิตแล้วนี่เราก็แพ้มัน
อันดับ ๑ ความขี้เกียจ
ความขี้เกียจนี่เขาเรียกว่าเป็นมาร ขี้เกียจนั้นก็คือขันธมาร
ตามธรรมดาแล้วเราก็จะนอนเล่น
ตามธรรมดาแล้วเราก็อยากจะเที่ยวเล่น
ตามธรรมดาแล้วเราก็ไม่อยากนั่งสมาธิ ไม่อยากเดินจงกรม อย่างนี้
ทีนี้เมื่อไม่อยากมันก็คือไม่ทำ เมื่อไม่ทำมันก็คือขี้เกียจ
เพราะฉะนั้นมารตัวนี้เราจะต้องปะทะเป็นอันดับแรก
ถ้าเราปะทะมารตัวนี้ได้แล้วถือว่าเราชนะ ๑ ขั้นแล้ว
มาถึงขั้นที่ ๒ ต่อไป เมื่อเวลาเราทำสมาธิเราก็ไปเจอความเจ็บปวด ความเมื่อย ความเหนื่อย ความหิว ความหงุดหงิด
อะไรมันหงุดหงิดน่ะ ใจหงุดหงิด อย่างนี้ อันนี้เป็นกิเลสมาร
กิเลสมารตัวนี้เราจะต้องปะทะเป็นอันดับ ๒ จะปะทะไหวมั้ย
ถ้าปะทะไหวเราก็นั่งสมาธิต่อ
ต่อไปก็เทวบุตรมาร เทวบุตรนี่ก็หมายถึงความสุข
คนที่จะไปเกิดเป็นเทวบุตร เทวดานี่เขาบอกว่ามีความสุข
แล้วความสุขอันนี้มันจะกลับมาเป็นมารกับเราได้ยังไง
เป็นมารได้เพราะว่าเมื่อเรามีความสุขแล้วเราก็หลงความสุข แล้วเราก็ไม่ทำสมาธิ เราก็นอนซะนอนไปสบาย
เทวบุตรมารมันจะตามมาบอกว่านั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องหรอก ๕ นาที ๒ นาทีก็พอแล้ว ว่างั้น นอนสมาธิ
พอนอนแล้วมันก็หลับจิตเข้าภวังค์ธรรมชาติไปก็หมดสิทธิ์ที่จะผลิตพลังจิตแล้ว ก็เป็นอันว่าถูกเทวบุตรมารนี่มาเล่นงานเราทำให้เราแพ้ไป
แต่ถ้าหากเรามีกำหนดว่าเราจะทำสมาธิ ๓๐ นาที เราก็ทำสมาธิ ๓๐ นาทีเราก็ไม่ยอมถอย อย่างนี้เรียกว่าชนะไปแล้ว
ทีนี้เมื่อชนะแล้วนี่อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็พลังจิต
พลังจิตนี้เป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่ามหาศาล
ถ้าเราได้พลังจิตมากนี่แน่นอนที่สุดที่เราไม่ต้องไปเกิดในอบาย ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรต อสูรกายไม่ต้องไป เพราะว่าเราชนะมารแล้ว
จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๑๗๒
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา
๖๐.๐๘.๑๑
ใส่ความเห็น