เราสร้างสมาธิขึ้นมาใหม่นี่มันจะแบ่งเป็น ๒ ประเภท

ประเภทหนึ่งนั้นคือประเภทอยู่ถาวร
อีกประเภทหนึ่งนั้นเป็นประเภทที่ใช้งานตามปรกติ
ประเภทใช้งานตามปรกตินั้นจะมี ๔๐% สิ่งที่จะเก็บเอาไว้นั้นมีอยู่ ๖๐%
อันนี้มันจะเป็นธรรมชาติโดยที่เราไม่ได้ไปแตะต้องอะไร ขอแต่ว่าเราได้พากันทำสมาธิให้ได้ก็แล้วกัน มันจะเก็บสะสมมันไปอย่างนั้น

เมื่อสะสมพลังจิตไว้แล้วนี่พลังจิต ๖๐% มันจะนอนเนื่องอยู่เป็นทุนสำรองไปโดยตลอด
เมื่อเป็นเช่นนั้นบุคคลผู้นั้นก็เท่ากับว่าได้พลัง พลังจิตนี่เมื่อสะสมไป สะสมไปแล้วเขาก็บอกว่ามันจะถึงจุดพลังอำนาจ

วันหนึ่งเราก็จะได้ไปพบจุดพลังอำนาจ
ถ้าเราขยันหน่อย เราก็ไปถึงจุดพลังอำนาจได้เร็วขึ้น
ถ้าเราขี้เกียจมากหน่อยมันก็ต้องหลายชาติกว่าจะถึงจุดพลังอำนาจ
แต่ถ้าขยันหน่อยอาจจะเป็นชาตินี้เราก็จะได้จุดพลังอำนาจ

ทีนี้จุดพลังอำนาจนั้นหลวงพ่อก็จะเปรียบด้วยคนที่เขาหาเงินนี่
ถ้ายังไม่ถึงพันล้านเมื่อไหร่นี่มันจะไม่ถึงจุดพลังอำนาจ

คนที่ทำสมาธินี่ ถ้าหากว่าทำสมาธิไปถึงจุดพลังอำนาจได้มันจะมีสิ่งหนึ่ง เขาเรียกว่าตัวเตือนอยู่ภายในจิตอันนี้ จะไม่ให้จิตอันนี้เกิดความเศร้าหมอง
ในขณะนี้เวลานี้เรามีพลังจิตไม่พอเพียง อะไรมากระทบหน่อยน้ำตาไหล อะไรมากระทบหน่อยก็เสียใจ อะไรมากระทบหน่อยก็ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวร ละทิ้งกันก็ไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าพลังจิตไม่พอแล้ว มันไม่ถึงจุดพลังอำนาจ สิ่งต่าง ๆ ที่มันจะเป็นความทุกข์นี่มันจะประดังกันเข้ามาในจิตในตัวของเราเยอะในชีวิตนึง ๆ

เราอยากจะได้จุดพลังอำนาจเราก็จำเป็นที่จะต้องพยายามทำสมาธิ
วันหนึ่งมันก็จะต้องได้จนได้หละ
เราก็ต้องคิดว่าเขามี ๒ มือมี ๒ เท้า เราก็มี ๒ มือ ๒ เท้าเหมือนกัน แล้วเมื่อเขาได้จุดพลังอำนาจแล้วทำไมเราไม่ได้ เราก็ต้องทำตัวของเราให้ได้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๑๐๑
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์๓/ป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๗.๓๐