แนะชาวเชียงของร้องทุกข์ผู้ใหญ่หลังโดนข้าราชการรุมแกล้ง
แนะชาวบ้านร้องทุกข์หน่วยงาน โดยเฉพาะกต. หลังโดนข้าราชการรุมกินโต๊ะข้อหาบุกป่าสามงานในเขตที่ตนเองครองครองอยู่
วีคลี่นิวส์ออนไลน์ได้รับแจ้งเรื่องราวจากชาวบ้านในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ถึงความไม่ชอบมาพากลของการปฎิบัติหน้าที่ของข้าราชการในจังหวัดนี้ โดยเฉพาะปลัดอำเภอเชียงของ นายหนึ่ง ที่นำพรรคพวกบุกจับราษฎรรายหนึ่งชื่อ นาย เกียรติศักดิ์ ในข้อหาบุกรุกป่า จำนวน 3งาน
ฃึ่งที่ดินดังกล่าว นาย เกียรติศักดิ์ ครอบครองทำกินปรากฎบ้านเลขที่ชัดเจนอาศัยอยู่รวมสามสิบไร่ และเป็นเขตที่สปก.กำลังเดินสำรวจออกเอกสารสิทธิให้ชาวบ้าน
อย่างไรก็ตามวีคลี่นิวส์ออนไลน์ได้รับแจ้งว่าปลัดอำเภอรายนี้กล่าวหาว่านายเกียรติศักดิ์บุกรุกที่ป่าจำนวน สามงานจากที่ดินสามสิบไร่ของนายเกียรติศักดิ์เอง ที่ได้ครอบครองทำกินอยู่ จึงนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติของผู้เป็นข้าราชการที่จะกระทำการดังกล่าว
วีคลี่นิวส์ออนไลน์ได้เดินทางไปสำรวจที่ดินบริเวณนี้และใกล้เคียง พบว่า หากกรณีนาย เกียรติศักดิ์ โดนกล่าวหาและบุกจับในที่ดินของตัวเองโดยอ้างว่าอยู่ในเขตป่า แต่ที่ดินบริเวณถัดมาเป็นของนายทุนใหญ่ เป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าแน่นอนกลับปล่อยให้มีการก่อสร้างอาคารใหญ่โตและเปิดการขายครอบครองที่ดินโดยไม่มีการจับพร้อมกันไป
แต่กลับมาจับนาย เกียรติศักดิ์ ฃึ่งครอบครองที่ดินอยู่ในเขตกำหนดเป็นสปก. ฃึ่งเมื่อวีคลี่นิวส์ออนไลน์ตามติดเข้าไปดูกรรมวิธีการทำคดีนี้พบว่า มีความผิดปกติเริ่มจากการตั้งข้อหา ของตำรวจ แต่แรกกล่าวหาให้นายเกียรติศักดิ์ยินยอมรับสารภาพ ขณะที่นายเกียรติศักดิ์ขอต่อสู้คดี
และเมื่อคดีไปสู่ชั้นอัยการ มีรายงานข่าวว่าอัยการเจ้าของสำนวนไปต่างปทเรื่องยังไม่ได้ถูกนำมาพิจารณา แต่มีการทำสำนวนขึ้นมาใหม่เพื่อสั่งคดีให้มีมูล และถูกสั่งฟ้องเป็นคดีนำไปสู่ศาล ฃึ่งเรื่องนี้วีคลี่นิวส์ออนไลน์จะได้ไปสืบหาข้อเท็จจริงมานำเสนอต่อไป
อย่างไรก็ตามคดีได้ขึ้นสู่ศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นสั่งจำคุกนายเกียรติศักดิ์ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา และศาลอุทธรณ์ได้เลื่อนสั่งคดีจากปลายเดือนที่แล้วมาเป็นวันนี้( 3 ต.ค )จึงได้อ่านคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และนายเกียรติศักดิ์ ขอยื่นประกันตัว แต่ต้องติดคุกนอนรอให้ศาลฎีกาในกทม.อนุญาตก่อน
ต่อปัญหานี้วีคลี่นิวส์ออนไลน์ได้สอบถามไปยังนักกฎหมายหลายท่านต่างให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า นาย เกียรติศักดิ์ ควรจะร้องขอความเป็นธรรมจากอธิบดีกรมการปกครอง และ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ตลอดจน อัยการสูงสุด และ คณะกรรมการตุลาการ เพื่อที่จะได้ตรวจสอบว่าเรื่องราวเป็นเช่นใดแน่
โดยเฉพาะหากสามารถนำคดีอื่นๆในลักษณะเดียวกันมาเปรียบเทียบถึงการดำเนินการทางคดีที่แตกต่างกันได้ เพื่อให้ผู้ใหญ่ได้ทราบถึงความไม่เป็นธรรมนี้ก็จะยิ่งดี
คดีนี้จึงอยู่ที่ศาลฎีกา จะเป็นผู้วินิจฉัยให้ความเที่ยงตรงเป็นธรรม พวกตนเห็นว่า คดีที่ร้ายแรงกว่านี้เช่นคดี ทุจริต ศาลฎีกายังเมตตารอลงอาญา ฃึ่งพวกตนเชื่อว่าศาลฎีกาจะได้ให้ความเป็นธรรม แน่นอน โดยเฉพาะถ้าได้ทราบว่า นาย เกียรติศักดิ์ มีภาระหน้าที่ที่ต้องเลี้ยงดูแม่ที่ชรานอนติดเตียงเช่นนี้ อาจจะเป็นเหตุให้บรรเทาโทษได้บ้าง
พวกตนเชื่อเช่นนั้น
ใส่ความเห็น