ตัดสินแล้วคดีอุ้มบุญ
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ศาลได้อ่าน คาสั่งคดีหมายเลขดาที่ พ.1239/2558 หมายเลขแดงที่ พ.716/2559 ซึ่งนาย ก (นามสมมุติ) ยื่นคำร้องขอให้ เด็กหญิง ข (นามสมมุติ) เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง ตามบทเฉพาะกาลในมาตรา 56 แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ในบทเฉพาะกาลมาตรา 56 มีเจตนารมณ์ให้ศาลใช้ดุลพินิจมีคาสั่งให้ผู้ที่เกิดจาก การตั้งครรภ์แทนก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีและภริยาที่ ดาเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนตามสมควรแก่กรณีของแต่ละคดี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองสวัสดิภาพและ ประโยชน์สูงสุดของผู้ที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน ส่วนสามีหรือภริยาที่ดาเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทน ผู้มีสิทธิยื่นคาร้องก็ไม่จาต้องเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 คดีนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดาเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยการถ่ายโอนตัวอ่อนที่เกิดจาก การปฏิสนธิระหว่างอสุจิของผู้ร้องกับไข่ที่ได้รับบริจาคจากหญิงอื่นเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้คัดค้านซึ่งเป็นหญิง ผู้รับตั้งครรภ์แทน ต่อมาผู้คัดค้านให้กาเนิดเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทนครั้งนี้คือเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) หลังจากนั้น ผู้ร้องรับเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) ไปอุปการะเลี้ยงดูนับแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งพยานหลักฐาน ที่ผู้ร้องนามาไต่สวนก็มีน้าหนักรับฟังได้ว่า ผู้ร้องอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) ด้วยความรักและเอาใจใส่ นอกจากนี้ ในระหว่างพิจารณาผู้คัดค้านยังแถลงไม่คัดค้านหากศาลจะมีคาสั่งให้เด็กหญิง ข (นามสมมุติ) เป็นบุตร โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง จากพฤติการณ์ตามที่วินิจฉัยมาจึงสมควรที่ศาลจะมีคาสั่งให้เด็กหญิง ข (นามสมมุติ) เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง
ปัญหาประเด็นสุดท้ายมีว่า สมควรกาหนดให้ผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้ใช้อานาจปกครอง เด็กหญิง ข (นามสมมุติ) ร่วมกัน หรือสมควรกาหนดให้ฝายหนึ่งฝ่ายใดเป็นผู้ใช้อานาจดังกล่าวเพียงฝ่ายเดียว เห็นว่า ผู้ร้องรับเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) ไปอุปการะเลี้ยงดูตลอดมานับแต่แรกเกิด ปัจจุบันเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) มีอายุ1 ปี3เดือนเศษอยู่ในวัยที่พอจะรู้ความและมีความรู้สึกผูกพันกับผู้ที่ให้การอุปการะเลี้ยงดูอยู่เป็นประจา หากเปลี่ยนผู้อุปการะเลี้ยงดูย่อมก่อผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกของเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) อีกทั้งข้อเท็จจริง ที่ปรากฏจากการไต่สวนพยานผู้ร้องก็รับฟังได้ว่า ผู้ร้องอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) ด้วยความรัก และเอาใจใส่ และถึงแม้ผู้ร้องเป็นคนรักร่วมเพศ แต่ความเป็นคนรักร่วมเพศมิใช่อุปสรรคที่จะทาให้ผู้ร้อง ไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) ให้ได้รับความสุขและความอบอุ่นเท่ากับเด็กอื่นๆ ส่วนผู้คัดค้าน มิใช่ภริยาผู้ร้องทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย อีกทั้งผู้ร้องกับผู้คัดค้านก็มีภูมิลาเนาอยู่คนละประเทศ หากศาล มีคาสั่งให้ทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านใช้อานาจปกครองเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) ร่วมกันย่อมเกิดอุปสรรคในการใช้ อานาจปกครองและการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งจะไม่เป็นผลดีแก่เด็กหญิง ข (นามสมมุติ) จากพฤติการณ์ตามที่วินิจฉัยมา จึงสมควรที่ศาลจะมีคาสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อานาจปกครองเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) เพียงผู้เดียว ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุด แก่เด็กหญิง ข (นามสมมุติ)
จึงมีคาสั่งว่า เด็กหญิง ข (นามสมมุติ) เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ก (นามสมมุติ) ผู้ร้อง และให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อานาจปกครองเด็กหญิง ข (นามสมมุติ) เพียงผู้เดียว ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ.
ใส่ความเห็น