สาปส่งธนาคารแห่งประเทศไทย ผลงานปชช.ไม่ยอมรับ

ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท.เป็นหน่วยงานอิสระในทางการเงินของประเทศแต่อิสระอย่างไรก็ยังขึ้นต่อหน่วยงานของรัฐบาลเช่นกัน

คนที่ทำงานในธปท.จึงมีเงินเดือน มีโบนัส สูงกว่าหน่วยงานอื่นๆ โดยอาศัยเงินจากกองทุน ฃึ่งไม่มีใครเปิดเผยว่ากองทุนนี้เอาเงินจากส่วนไหนมาบริหารจัดการเงินเดือนและรายจ่ายของธปท. เพราะไม่ได้เอามาจากงบประมาณแผ่นดิน

เพื่อให้คนของธปท.ทำงานอย่างมีความอิสระ มั่นใจในการทำงานอย่างที่ว่ากันว่าตรงไปตรงมา

แต่ในความจริง เป็นเรื่องยากที่ปชช.จะเชื่อเช่นนั้น

เพราะผลการทำงานของธปท.ไม่เป็นที่ประจักษ์ให้ปชช.คิดเช่นกัน

การทำงานของธปท.ที่ดูแลสถาบันการเงินทั้งของรัฐและเอกชน อยู่กับวงเงินจำนวนเป็นล้านล้านล้าน บาท ใครเชื่อมั่นว่าธปท.ทำงานโดยสุจริตจริงตามว่าคงต้องดูที่ผลงาน

ปชช.หลายคนร้องผ่านเรื่องราวมายังวีคลี่นิวส์ออนไลน์หลายคนว่าได้รับการปฎิบัติไม่ชอบจากธนาคารทั้งเอกชนและรัฐ ไปยังหน่วยงานที่ธปท.จัดตั้งขึ้นมารับเรื่องราวร้องทุกข์ ที่เรียกกันว่า ศคง. หรือ ฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน

แต่ธปท.มักช่วยอะไรไม่ได้ เพราะทำหน้าที่ได้เพียงกำกับดูแล ไม่ใช่ลงโทษในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องของปชช.ที่ธปท.มองเป็นเช่นนั้น

ทำให้ปชช.ตั้งข้อสงสัยว่าระหว่างสถาบันการเงินที่รำ่รวยเงินทอง สิ้นปีกระเช้าของขวัญจากสถาบันการเงินวางอย่างกับร้านขายของขวัญหน้าสำนักงานผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นั้น กับ ประชาชน ที่หาเช้ากินค่ำ ธปท.จะเลือกทำงานให้ใคร

ยิ่งถ้ากองทุนนั้นมีส่วนหนึ่งที่มีมาจากรายได้ในการทำงานดูแลสถาบันการเงินเหล่านี้ คงเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้

คำตอบหนึ่งของธปท.ที่ปชช.ร้องทุกข์ถึงการนำทรัพย์ลูกหนี้ไปขายของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้กับบริหารสินทรัพย์ ศรีสวัสดิ์ ฃึ่งเป็นบริษัท บริหารสินทรัพย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ออกใบอนุญาต ให้ด้วยเวลาที่รวดเร็ว นั้น เป็นข่าวใหญ่โตทางหน้าสื่อออนไลน์อย่างสำนักข่าวอิศรา ถึงการขายหนี้ที่ส่อไปในการเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน

แต่เมื่อลูกหนี้ที่ถูกขายหนี้ไปโดยไม่ชอบนั้นร้องทุกข์ไปยังธปท.พร้อมแนบหลักฐานประกอบถึงการ กลั่นแกล้งของธนาคารก่อนที่จะนำหนี้ไปขายให้บริหารสินทรัพย์ แสดงต่อธปท.

เพราะหวังว่าธปท.ฃึ่งมีหน้าที่ดูแลกำกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่สร้างภาพหน่วยงานตนเองว่าทำงานอย่างตรงฉิน ตรงไปตรงมา ไม่มีการทำงานเข้าข้างสถาบันการเงินใดอย่างแน่นอนนั้น ปรากฎออกมาว่า
“ ข้อมูลที่ลูกหนี้ส่งให้นั้น ไม่พบหลักฐานชี้ชัดเกี่ยวกับเรื่องการขายหนี้ของลูกหนี้ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ฃื้อ ทั้งนี้ในการดำเนินการเกี่ยวกับการประพฤติไม่ชอบและการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่หน่วยงานรัฐอื่นตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว” ( อ่านรายละเอียดในเอกสารภาพถ่าย)

เมื่อลูกหนี้ย้อนถามไปที่พนักงานธปท.ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ พร้อมตั้งคำถามว่า เมื่อไม่พบหลักฐานแน่ชัด ธปท.ไม่ขอเพิ่มหรือค้นหา เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของสถาบันการเงินทั้งสองแห่งเพื่อให้ได้ความจริงหรือ

พนักงานธปท.กล่าวตอบว่า คณะตรวจสอบได้มีมติเช่นนี้ออกมาแล้ว เรื่องสิ้นสุดแล้ว

นี่คือผลการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ควบคุมดูแลสถาบันการเงิน

ลูกหนี้และสำนักข่าวอิศรา นำข้อมูลการฃื้อขายหนี้ลูกหนี้จำนวน 30รายออกมาเปิดเผยด้วยหลักฐานชี้ชัดขนาดนั้น ธปท.หรือธนาคารแห่งประเทศไทย กลับบอกว่าหลักฐานไม่ชี้ชัด

ลูกหนี้หนึ่งในสามสิบรายที่โดนธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกลั่นแกล้งนำทรัพย์ไปขายให้บริหารสินทรัพย์ ในราคาต่ำกว่าเงินต้น ที่รัฐควรจะได้ และก่อนขายลูกหนี้ร้องขอชำระหนี้มากกว่าเงินต้นแต่ธนาคารกลับไม่ขาย กลับหลอกล่อเรียกลูกหนี้ไปเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แล้ววันรุ่งขึ้นไปบังคับคดียึดทรัพย์ อีกสองเดือนหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยออกหนังสืออนุญาตให้บริหารสินทรัพย์ ศรีสวัสดิ์ ดำเนินการได้ แล้ว บริหารสินทรัพย์นี้ได้เข้าไปฃื้อหนี้จากธนาคารนี้ชนะคู่แข่งที่เป็นผู้ชำนาญการอย่างบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท และ บริหารสินทรัพย์กรุงเทพฯ ได้ในราคาเพียง 38% ของมูลค่าทางบัญชี

ลูกหนี้นำหลักฐานสัญญาการโอนขายสินทรัพย์ระหว่างธนาคารกับบริหารสินทรัพย์ ศรีสวัสดิ์ ที่ลงนามไว้ กำหนดว่า มีการฃื้อขายทรัพย์ในราคา 202ล้าน วันลงนามจ่ายแค่5%เพียง 10ล้านบาท ส่วนที่เหลือ95% จำนวน 192ล้าน ให้บริหารสินทรัพย์ผ่อนชำระ2ปี ดอกเบี้ยร้อยละ1

 

ลูกหนี้ส่งหลักฐานนี้ให้ธปท. ฃึ่งชี้ชัดว่า การขายครั้งนี้ต่ำกว่าเงินต้นที่ลูกหนี้30รายกู้ไปแล้ว ยังขายเพียง38%ของมูลค่าทางบัญชี แล้ว ธนาคารยังให้ผ่อนอีกถึง2ปี ทั้งที่ธนาคารขายต่ำ ขายถูก เพื่อรีบจะเอาเงินมาใช้ในกิจการไม่ใช่หรือ

และที่สำคัญลูกหนี้ร้องขอชำระหนี้27ล้านบาทก่อนหน้าที่ธนาคารจะนำทรัพย์ไปขายเกือบปีแต่ธนาคารไม่พิจารณาไม่ตอบกลับ แต่เพียงแค่ สองเดือน หลังธปท.อนุมัติให้บริหารสินทรัพย์ศรีสวัสดิ์เปิดดำเนินการได้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมก็มีนโยบายเปิดขายหนี้ให้บริหารสินทรัพย์เข้าไปประมูล

และนำทรัพย์ของลูกหนี้รายนี้ไปขายให้บริหารสินทรัพย์ศรีสวัสดิ์เพียง19.6 ล้านบาท ทั้งที่ลูกหนี้ขอชำระหนี้อยู่ที่ 27 ล้านบาท ธนาคารตั้งราคาราคา force sell อยู่ที่ 23 ล้านบาท

อย่างนี้ไม่เอื้อประโยชน์แล้ว ไม่ชัดเจน แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ละอายใจตนเองหรือเมื่อสังคมที่เขาได้รับฟังรับรู้ยังเข้าใจ ชัดเจนว่า การขายนี้เอื้อประโยชน์ เพราะถ้าไม่เอื้อประโยชน์จะให้ผ่อนชำระทำไม2ปี ทำไมไม่ให้ลูกหนี้ฃึ่งร้องขอชำระหนี้มาโดยตลอดแต่ธนาคารกลั่นแกล้งไม่ยอมพิจารณารับชำระหนี้ แต่กลับเอาหนี้เขาไปขาย ในราคาต่ำกว่าที่ลูกหนี้ร้องขอชำระหนี้

ใครได้รับประโยชน์

นี่คือผลงานของธปท. ที่น่าละอายใจเป็นอย่างยิ่งในสายตาของปชช.ไม่เฉพาะรายนี้รายเดียว           รายอื่นๆที่ร้องเรียนมายังวีคลี่นิวส์ออนไลน์ก็ยังมี ด้วยความคับแค้นใจต่อผลการทำงานของ ธปท.ธนาคารที่ได้ชื่อว่าศักดินาในการทำงาน วางตัวสูงส่ง แต่ไม่เป็นที่ประจักษ์ใจของผู้ร้องทุกข์ ที่หวังพึ่งพิงความรู้ ความสามารถ ของผู้มีหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงิน

ลำพังคำตอบของธปท. ว่า “ข้อมูลที่ลูกหนี้ส่งให้นั้น ไม่พบหลักฐานชี้ชัดเกี่ยวกับเรื่องการขายหนี้ของลูกหนี้ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ฃื้อ “ มันสะท้อนให้เห็นว่า การตรวจสอบของธปท.คงนั่งอยู่บนคอหอยที่ไม่อาจมองลงมาดูได้ว่า หลักฐานสัญญาการโอนขายทรัพย์ ให้ชำระเพียง5% ผ่อน 95 % 2 ปี หรือขายหนี้ต่ำกว่าเงินที่ลูกหนี้ร้องขอชำระหนี้ 27ล้าน ไปเป็นจำนวนถึง 7ล้านบาท ไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ฃื้อทรัพย์

ลักษณะเช่นใดจึงจะทำให้ธปท.ลงมาจากหอคอยแล้วไต่บันไดลงมาดูหลักฐานเช่นใดจึงจะเป็นการเอื้อประโยชน์ แล้วบอกให้ผู้ร้องทุกข์ได้ทราบ เพื่อผู้ร้องทุกข์จะได้ไปค้นหาตามเสาะมาให้

ทั้งที่ธปท.ฃึ่งตรวจตราธนาคารแห่งนี้มีพนักงานธปท.เข้าไปนั่งทำงานตรวจสอบอยู่ในธนาคารนี้อยู่แล้ว จะหาหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเอื้อประโยชน์ไม่ได้เชียวหรือ

จะมองดูเอกสารหลักฐานจากผู้ร้องทุกข์ฝ่ายเดียว มาเอาผิดสถาบันการเงิน ชาตินี้ทั้งชาติ ปชช.ผู้ร้องทุกข์คงไม่มีโอกาสได้รับบริการคุ้มครองทางการเงินจากธปท.แน่นอน

แต่ถ้าธปท.อยากจะเอาผิดสถาบันการเงิน มีหรือจะตรวจไม่พบ

นอกจากความรู้ทางการเงินที่สูงส่งด้วยเงินเดือนแพงๆแล้ว หน้าที่ที่ต้องปฎิบัติในการตรวจสอบด้วยความฃื่อสัตย์สุจริต ต่อชาติและปชช.ก็ย่อมจะเป็นสำนึกที่ดีในการทำงาน

ก็อย่างทีกล่าว สถาบันการเงินที่มีเงินเป็นล้านล้านล้านบาทกับปชช.ที่หาเลี้ยงชีพไปวันๆจะมีฤทธิ์มีเดชเทียบเท่าสถาบันการเงินที่คนตรวจสอบสถาบันการเงินเองนั่งอยู่บนหอคอย วางตัวสูงส่ง เชื่อมั่นตนเองว่าตรงฉิน ตรงไปตรงมา

แต่ผลการทำงานมันฟ้อง ฟ้องชวนให้คิดว่า ประพฤติชอบหรือไม่ชอบ

เมื่อเอกสารหลักฐานของผู้ร้องทุกข์ไม่ชั ดเจน แต่มีมูลในการร้องทุกข์ ธปท.ฃึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบ สถาบันการเงิน ก็ควรที่จะหาหลักฐานอื่นที่ชัดเจน เพราะเข้าไปตรวจสอบในธนาคารอยู่ทุกวันจนประจำการอยู่ในธนาคารนั้น อยู่แล้วมาเสริมเพิ่มค้นให้ได้มาฃึ่งความจริงที่ผู้ร้องทุกข์กล่าวด้วยความรู้เงินเดือนแพงๆของพนักงานธปท.คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะให้ความเป็นธรรมกับผู้ร้องทุกข์

ไม่ใช่รับฟังเอกสารหลักฐานจากผู้ร้องทุกข์อย่างเดียว

เพราะธปท.มีหน้าที่ในการตรวจสอบการกระทำของสถาบันการเงิน

ไม่ใช่รอเอกสารจากผู้ร้องทุกข์ แต่แม้เอกสารจากผู้ร้องทุกข์ชัดเจนขนาดนี้ ธปท.ยังบอกได้ว่าไม่ชัดเจน ไม่ชี้ชัด ว่า เอื้อประโยชน์ ก็คงไม่ต้องหวังแล้วว่า การทำงานของธปท.ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของสถาบันการเงินทำงานเพื่อใคร ให้กับใคร

เพราะอย่างที่บอกปชช.หาเช้ากินค่ำ ใครมันจะอยากช่วย