คำสอนที่พระพุทธเจ้าแสดงไปนั้นมีอยู่ ๓ ขั้นด้วยกัน
“อาทิกัลยาณัง” งามในเบื้องต้นคือศีล
“มัชเฌกัลยาณัง” งามในท่ามกลางคือสมาธิ
“ปริโยสานะกัลยาณัง” งามในที่สุดคือการภาวนา

อีกประการหนึ่งงามในเบื้องต้นคือการบริจาคทาน
งามในท่ามกลางคือการรักษาศีล
งามในที่สุดคือการภาวนา

ความงามของคนนั้นอยู่ที่ศีลธรรม
อยู่ที่ทาน ศีล ภาวนา
อยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา

ความงามของร่างกายย่อมแปลสภาพไปตามกาลและเวลา แต่ความงามของธรรมะที่เราปฏิบัตินั้นงามได้ตลอดกาล
เราจะมีวัยใด วัยหนุ่มสาว วัยแก่เฒ่าชรากาล ย่อมแสดงให้เห็นถึงความงามเหล่านั้น และความงามเหล่านั้นไม่ใช่งามเป็นเครื่องล่อลวงหรือหลอกลวงใคร แต่ว่าเป็นความงามที่เป็นสัจธรรม สามารถที่จะเป็นเสบียงเป็นบุญกุศลที่จะติดตนตามตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติ

เราท่านทั้งหลายการที่เราแก่และเราตายนั้นเป็นเพียงร่างกายเท่านั้น ส่วนใจไม่ได้ตายตามร่างกายนี้ไปด้วย

เพราะฉะนั้นความงามต่าง ๆ ที่สาธุชนได้ปฏิบัตินั้นจึงเป็นของเราและฝังสนิทในใจของเราตลอดกาล

อย่างไรก็ตามความประมาทเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเกิดความหลงใหลในรูปเสียงกลิ่นรสนานัปการ
ที่เป็นสิ่งยั่วยวนให้จิตใจของเราหลงใหลนั้นคือความประมาท

“ปะมาโท มัจจุโน ปะทัง” การประมาทนั้นคือความตาย
หมายความว่าตายจากศีลธรรม ตายจากความดีไปหมด เหลือแต่ความชั่วหรือบาปที่ตนกระทำเอาไว้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย

อย่างไรก็ตามเมื่อเราไม่ประมาท เรามีโอกาสมีหนทางที่จะหยิบจะฉวยเอาคุณธรรมเหล่านี้เอาไปเป็นสมบัติของเราได้
แม้ว่าเราจะต้องเหนื่อยยากลำบากเพียงใดแต่เพื่อคุณธรรมแล้วเราสละได้ นี่แหละคือความไม่ประมาท

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๑๘๒
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๑.๐๙