คำว่าเพชรในตม

ก็คือว่าแต่ก่อนเราไม่รู้จักเพชร เพชรมันอยู่ในใต้ดินนี่เราไม่รู้วิธีการเอาขึ้นมาใช้ เพชรมันอยู่ใต้ดินไม่ได้ทำประโยชน์อะไร

ต่อเมื่อคนที่มีความฉลาดรู้ว่าไอ้หินก้อนนี้ หินเม็ดนี้มันเป็นของมีค่า ก็จึงได้เอาหินเม็ดนั้นมาเจียระไนก็กลายเป็นเพชร
ถ้าหากว่ามันอยู่ในตมพันปีมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันมีประโยชน์ตอนที่เขาเอาขึ้นมาจากตมแล้ว

ใจของคนเราก็เหมือนกัน
ใจของเรานี่เปรียบเหมือนกับเพชรอยู่ในตม
ถ้าหากว่าเราปล่อยไว้เราไม่เอามาฝึก แล้วเราไม่เอามาทำ เอามาเจียระไน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ใจของเราก็กลายเป็นใจธรรมชาติ เกิดมาตามธรรมชาติ มีความเป็นอยู่ตามธรรมชาติ ก็เหมือนกันกับคนป่า

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่อุบัติบังเกิดขึ้นมาแล้วพระองค์ก็ได้ตรัสรู้

คำว่าตรัสรู้ของพระองค์นั้นก็คือเอาเพชรในตมนี่เอาขึ้นมาให้ปรากฏ
เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้วพระองค์ก็เป็นประดุจเพชรจึงเรียกว่า “พุทธะรัตตะนัง” พระพุทธเจ้าเปรียบด้วยเพชร
“ธัมมะรัตตะนัง” พระธรรมเปรียบด้วยเพชร
“สังฆะรัตตะนัง” พระสงฆ์เปรียบด้วยเพชร อย่างนี้เป็นต้น

คนเราคนเก่านั่นแหละคือมนุษย์คนเดิมแหละแต่ว่าได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว แล้วก็กลายเป็นพระพุทธเจ้า
แล้วก็คนเดิมนั่นแหละเมื่อมาบวชเป็นพระเขาก็เรียกว่าพระสงฆ์ ก็เรียกว่าขุดเอาเพชรใต้ดินนี่เอามาเป็นประโยชน์ให้คนได้ใช้สอยแล้วก็มีค่ามหาศาล
เหมือนกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก่อนไม่มีใครรู้ เพราะว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วพระองค์ก็ทำให้คำสั่งสอนเหล่านั้นปรากฏขึ้น หมายความว่าขุดเพชรในตมให้ปรากฏขึ้น
ไม่ใช่ปรากฏขึ้นที่ไหน ปรากฏขึ้นที่ใจของคนนี่เอง

คนเรานี่เองแต่ก่อนไม่เคยรู้จักธรรม มาเดี๋ยวนี้รู้แล้ว แต่ก่อนไม่เคยรู้จักของดี มาเดี๋ยวนี้รู้แล้ว แต่ก่อนไม่รู้จักว่าอันนี้เป็นเพชร เดี๋ยวนี้รู้แล้ว ก็หมายความว่ามีดวงตาเห็นธรรม

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๒๗๐
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๙.๑๒