ในการที่เราพากันทำนั้นน่ะ คือทำเป็นสุคะโตนี่ไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจ อยู่ที่ตัวของเราเอง

อยู่ที่เราจะมีความสามารถในการที่เราจะดำเนินการบุญการกุศล ความดีงามต่าง ๆ เหล่านี้ได้แค่ไหนเพียงไร

เราคิดว่าเราจะต้องเป็นสุคะโต
ทำยังไงซะเราก็จะต้องทำสุคะโตให้เกิดขึ้นให้ได้

เมื่อเราทำสุคะโตเกิดขึ้นแล้วนี่ มาดีไปดีแล้วเราก็สบายใจ สบายใจทุกอย่าง เราก็หมดกังวล ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว

เพราะว่าเมื่อเราทำสุคะโตแล้ว มาดีไปดีแล้วเราก็ไม่มีโอกาสที่จะต้องตกนรก
ไม่มีโอกาสที่เราจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเป็นเปรตอสุรกาย ไม่ต้องไป เพราะว่าอันนั้นมันไม่ดี

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วพระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ” ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน
“โก หิ นาโถ ปะโร สิยา” ใครจะมาเป็นที่พึ่งของเราได้
“อัตตานา หิ สุทันเตนะ นาถัง ละภะติ ทุลละภัง” เมื่อบุคคลผู้ใดทรมานตัวของตนเองได้แล้ว บุคคลผู้นั้นก็จะได้ที่พึ่งอันบุคคลจะพึ่งได้โดยยาก

ความดีความงามต่าง ๆ นั้นมันจะเป็นสิ่งที่เหมือนกับกลิ้งครกขึ้นภูเขา มันก็ยากมาก ไม่เหมือนกับกลิ้งครกลงภูเขานั่นมันง่ายเกินไป

เพราะฉะนั้นการทำบาปอกุศลต่าง ๆ มันจึงมีเครื่องยั่วยวนหลอกลวงสารพัดที่จะทำให้จิตใจของเราไขว่เขว
แต่ว่าในทางตรงกันข้าม ทางธรรมก็มีการชักชวนให้เราพากันทำความดี เราก็ได้สติ อย่างนี้เป็นต้น

ด้วยเหตุดังกล่าวท่านทั้งหลายอะไร ๆ ก็ตามทีเถอะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตนเป็นที่พึ่งของตนนั่นเป็นสิ่งที่แน่นอน

เราหายใจนี่ใครจะมาหายใจช่วยเราได้ ก็มีแต่เรา
เราหมดลมหายใจก็ไม่มีใครจะมาติดตามช่วยเราได้
มีแต่เราก็จะต้องเป็นที่พึ่งของเราไปโดยตลอด

เพราะฉะนั้น คำว่าสุคะโตนั้นควรที่เราจะได้ระลึกเอาไว้ เพื่อที่เราจะได้แสวงหาคุณงามความดีตามความสามารถที่เราจะพึงทำได้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๒๖๘
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๙.๑๑