น่าละอายและอัปยศ  เป็นถึงผู้ว่าสนง.ตรวจเงินแผ่นดินแต่ “โกง” “หญิงเป็ด”ผิดเบิกจ่ายงบ สตง.มิชอบ  ศาลฎีกาสั่งโทษคุกแค่รอลงอาญา

ศาลฎีกาแก้โทษ “คุณหญิงเป็ด-จารุวรรณ” อดีตผู้ว่าฯ สตง.ผิดจริง เบิกจ่ายงบสัมมนามิชอบ แต่ทำความผิดครั้งแรก เห็นควรให้โอกาส พิพากษาโทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปี แต่เพิ่มโทษปรับ 1.5 หมื่น

เมื่อ 27 ส.ค. 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา คดี คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อายุ 73 ปี อดีตผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ นายคัมภีร์ สมใจ อายุ 73 ปี อดีต ผอ.สำนักบริหารงานและทรัพยากรบุคคล สตง. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คดีนี้จำเลยทั้ง 2 ถูกฟ้องกรณีจัดให้มีการสัมมนา ที่ จ.น่าน วันที่ 31 ต.ค. 2546 ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสัมมนากันจริง แต่จัดสัมมนาเพื่อให้ข้าราชการที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนานั้น ได้ไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทานที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน แล้วให้เบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในงบเดียวกัน 294,440 บาท ทำให้ สตง.เสียหาย ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิด “คุณหญิงจารุวรรณ” และ “นายคัมภีร์”

อย่างไรก็ตาม ในคดีนี้ ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2558 ว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตามมาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ

ส่วนศาลอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2560 เห็นว่า จำเลยทั้ง 2 รับราชการที่ สตง.มานานจนดำรงตำแหน่งระดับสูง นับว่าได้ทำคุณประโยชน์ให้กับราชการ ประกอบกับจำเลยทั้งสองมีอายุมากประมาณ 70 ปี มีเหตุควรปรานี ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกคนละ 2 ปีจึงหนักเกินไป พิพากษาแก้โทษให้จำคุกเหลือคนละ 1 ปี แต่กรณีไม่สมควรรอลงอาญา

กระทั่งมาถึงคำพิพากษาของศาลฎีกาวันนี้ (27 ส.ค.) โดยก่อนหน้านี้ มีการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้ว 2 ครั้งเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2562 และวันที่ 22 เม.ย. เนื่องจาก นายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลว แล้วเสียชีวิตในเวลาต่อมาวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา ด้วยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

วันนี้ (27 ส.ค.) “คุณหญิงจารุวรรณ” จำเลยที่ 1 มาศาล ซึ่งมีครอบครัวและกลุ่มญาติ มาให้กำลังใจร่วมลุ้นผลคำพิพากษาด้วย ขณะที่ “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ก็ร่วมติดตามฟังคำพิพากษาด้วยเช่นกัน ส่วน “นายคัมภีร์” อดีต ผอ.สำนักบริหารงานฯ จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยได้เสียชีวิตแล้ว “ศาลฎีกา” จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

สำหรับคดีในส่วนของ “คุณหญิงจารุวรรณ” จำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ตามทางนำสืบ ก็ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับทราบอยู่แล้ว ว่าการจัดสัมมนานั้นเป็นเวลาทับซ้อนกับช่วงเวลา ที่จะเดินทางไปถวาย ผ้าพระกฐินพระราชทานและผ้ากฐินสามัคคีที่วัดในจังหวัดน่าน 3 แห่ง โดยที่การจัดสัมมนานั้นก็จัดในสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้เป็นไปตามคำนิยามของการสัมมนาระเบียบการคลังซึ่งไม่สามารถเบิกเงินที่เป็นค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายได้

จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าในการจัดทำโครงการดังกล่าวมีเงินคืนหลวงนับแสนบาทนั้นก็ไม่อาจลบล้าง ความผิดที่ได้มีการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งไม่มีสิทธิ์ได้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ตามฟ้อง ฎีกาที่จำเลยต่อสู้คดีนั้นฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่ฎีกาจำเลยที่ 1 ขอให้รอการลงโทษนั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น จำเลยที่ 1 ก็ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย และได้เคยประกอบคุณงามความดี ขนาดที่พฤติการณ์ความผิดนี้แม้จะเกี่ยวข้องกับจริยธรรมคุณธรรมของเจ้าพนักงานด้วยแต่เมื่อเห็นว่าการเบิกจ่ายเงินนั้น จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง จำนวนเงินในคดีนี้ก็มีจำนวนไม่มาก กับเป็นการกระทำความผิดครั้งแรก จึงสมควรให้โอกาสจำเลย ในการรอการลงโทษไว้ แต่เห็นควรให้เพิ่มการลงโทษปรับ จำเลยที่ 1 ด้วย

จึงพิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสี่คงจำคุกเป็นเวลา 9 เดือน โดยโทษปรับจำนวน 20,000 บาทนั้น เมื่อลดโทษ 1 ใน 4 แล้วคงปรับเป็นเงิน 15,000 บาท โดยโทษจำคุกนั้นให้รอการลงโทษเป็นเวลา 2 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการนั่งฟังคำพิพากษาภายในห้องพิจารณาคดีเป็นเวลา รวม 2 ชั่วโมง คุณหญิงจารุวรรณ มีสีหน้าเรียบเฉยโดยนั่งประสานมือบนตัก เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จแล้วผู้พิพากษาได้อธิบายผลคำพิพากษาให้จำเลยทราบอีกครั้ง

 

——————————————————–