การทำสมาธิถือว่าเป็นการที่พัฒนาตัวบุคคลได้โดยแท้จริง
เมื่อมีสมาธิแล้วในที่สุดก็มีปัญญา

ปัญญานั้นท่านว่าเป็นสิ่งที่สามารถแนะนำตัวของตนเองได้ และแนะนำบุคคลผู้อื่นได้ ก็เรียกว่าปัญญา

เมื่อปัญญาเกิดขึ้นนั้นโดยอาศัยการร่ำเรียนสมาธิให้แตกฉาน
เมื่อการเรียนสมาธิให้แตกฉานแล้วเราก็จะรู้ได้ว่าอันนี้คือขนิกสมาธิ อันนี้คืออุปจารสมาธิ อันนี้คืออัปปนาสมาธิ
แล้วก็จะรู้ได้ว่าอันนี้คือสมถะ อันนี้คือวิปัสสนา
แล้วก็จะรู้ได้ว่าอันนี้คือฌานต่าง ๆ จะมีฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ เรียกได้ว่ารูปฌาน อรูปฌาน
แล้วก็จะรู้ได้อีกว่าอันนี้คือญาณ เรียกว่ารู้จักว่าชาติก่อนเราเป็นอย่างไร หรือว่าจิตใจของผู้อื่นเป็นอย่างไร
หรือว่าเป็นวิปัสสนาญาณพิจารณาซึ่งความเกิดดับอย่างไร อย่างนี้ ทั้งนี้ทั้งหมดรวมเรียกว่าปัญญา

ปัญญานี้เองที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ ปัญญา สะมาอาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี

เพราะว่าแสงสว่างต่าง ๆ นั้นก็ส่องได้แต่เฉพาะกลางคืน แต่ว่าแสงสว่างของปัญญานั้นสามารถที่จะทะลุไปได้ แม้ภูเขาจะขวางกั้นก็ขวางกั้นไม่อยู่สำหรับปัญญานั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อบุคคลผู้สร้างสมาธิขึ้นมาแล้วปัญญาย่อมเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากการทำสมาธินั่นเอง

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่มแรก หน้าที่ ๒๓๗
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๔.๒๖