พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง ความสุขเสมอด้วยความสงบไม่มี

เพราะว่าความสุขที่เกิดขึ้นจากความสงบนั้นมันมีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นหมายถึงพลังจิต
พลังจิตที่เกิดขึ้นจากความสงบของจิตนั้นเป็นอมตะธรรมเป็นสิ่งที่ประเสริฐ

ความสุขอย่างอื่นนั้นไม่สามารถที่จะผลิตพลังจิตได้ ก็จะต้องเป็นความสุขเป็นไปกับด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ชั่วครู่ชั่วคราวเป็นไปอย่างนั้น

การผลิตพลังจิตที่เกิดขึ้นจากสมาธินั้นเป็นอมตธรรม แล้วเป็นสิ่งที่สามารถที่จะอยู่ที่ตัวของเราโดยที่ใครจะมายื้อแย่งเอาไปไม่ได้ แล้วก็จะเป็นการพัฒนาตัวของเราจากปุถุชนให้เป็นกัลยาณชน จากกัลยาณชนให้เป็นอริยชน

เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นสามารถที่จะพัฒนาจากปรกติไปสู่ความวิเศษสุด
ก็หมายความถึงการปฏิบัติให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เราทำสมาธินั้น เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เพราะอะไร

เพราะว่าใจของเรานี่มันเป็นเหมือนกันกับลิง มันจะอยู่สุขไม่ได้
ใจของเราจะอยู่ปรกติสุขได้ก็เพราะความเป็นสมาธิเท่านั้น อย่างอื่นนั้นก็มีแต่ที่จะวนเวียนไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้นในการทำสมาธิจึงต้องมีหลักสูตร หรือเรียกว่ามีหนทางมีแนวทางให้เราได้เดินตามทางที่เหมาะสม
เพราะว่าการที่เราทำสมาธินั้นมันเป็นเรื่องของการที่มองไม่เห็นตัวแต่อยู่ที่ความรู้สึก

การทำสมาธิอยู่ที่ความรู้สึก ความรู้สึกนี่มีความสำคัญอย่างยิ่งในบรรดาความเป็นมนุษย์
ถ้าหากไม่มีความรู้สึกก็หมดก็หมด ก็ไม่ได้เป็นแล้วก็เรียกว่าเป็นซากศพ แต่ความรู้สึกยังมีอยู่ก็เรียกว่าเป็นมนุษย์
เพราะฉะนั้นความรู้สึกอันนี้จึงเป็นสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนา หรือการปรับปรุงให้ความรู้สึกนี่ตรงต่อมรรคที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดง

ที่พระองค์ได้ทรงแสดงสัมมาสมาธิไว้เพื่อที่จะให้พวกเรานี่เข้าใจว่าเราจะเดินทางไหนกันแน่
เราจะไปไหนกันแน่
เราจะใช้ชีวิตของเราทำอะไรกันแน่ เราก็จะต้องรู้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่มแรก หน้าที่ ๒๒๕
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๔.๒๐