เราอาจจะคิดว่าเวลาทำสมาธิแล้วมันหายไปไหน เวลาเลิกสมาธิแล้วก็เหมือนกันกับไม่มีสมาธิ
แต่แท้ที่จริงแล้วพลังจิตที่ทำสมาธินั้นได้ฝังไว้ที่จิตอยู่แล้ว

เมื่อฝังไว้ที่จิตอยู่แล้วนอกจากว่าจะเกิดความสุข เรีนกว่ามีความสบายแล้วยังเกิดเป็นบุญเป็นกุศลอีกด้วย

เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาที่เราสร้างสมาธิขึ้นมานี่จึงทำให้เราเกิดความอบอุ่น
เมื่อเราทำสมาธิมากขึ้นเท่าไรนี่ ก็เรียกว่าทำความอบอุ่นให้แก่จิตใจมากขึ้นเท่านั้น เรียกว่าสะสมพลังจิต

การสะสมพลังจิตก็เหมือนกันกับเราสะสมบุญทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าตรัสว่าการสะสมซึ่งบุญนำมาซึ่งความสุข
การสะสมซึ่งบาป นำมาซึ่งความทุกข์

เราจะต้องเข้าใจว่าจิตใจของคนเรานี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ประเดี๋ยวคิดโน้น ประเดี๋ยวคิดนี่ โดยมากแล้วก็จะต้องไปคิดไปทางอกุศลมากกว่า

การคิดไปทางอกุศลนั้นเขาเรียกว่า อะกุสะละจิตตัง หรือว่าอกุศลจิต
อกุศลจิตนั้นแหละคือบาป ความบาปนั้นไม่ใช่ว่าไม่ฝังไว้ในใจ เมื่อทำมากเข้า มากเข้าบาปมันก็เพิ่มพูนตัวขึ้น
พอกพูนขึ้นมากลายเป็นคนบาป มีอะไรต่าง ๆ ก็เกิดความทุกข์

ทีนี้คำว่าเป็บุญนั้นก็คือในทางที่สงบ เขาเรียกว่าสันติ
สันติคือความสงบนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้จากการที่เราพยายามที่จะกระทำบุญคือสมาธิให้เกิดขึ้น

คนเรานั้นถ้าหากว่าขาดสมาธิไปแล้วก็เป็นบ้า เป็นคนอยู่ไม่ได้ เป็นคนอยู่ได้เวลานี้ก็เพราะมีสมาธิ
แต่สมาธินั้นเป็นสมาธิที่เรียกว่าสมาธิธรรมชาติ ไม่ใช่สมาธิที่เราพัฒนาขึ้น

สมาธิธรรมชาตินั้นยังสามารถทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ ถ้าหากว่าเขารู้จักที่จะพัฒนาสมาธินี้ให้ก้าวหน้าขึ้นนั่นคือประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่เขาที่เกิดมาเป็นมนุษย์

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่มแรก หน้าที่ ๒๑๗
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๔.๑๖