ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน…อย่างไร
ใจของเรานี้ถ้าหากว่าไม่ควบคุมแล้วมันก็เหมือนลิง มันก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่ตลอดเวลา
แต่ถ้าเราได้ควบคุมแล้วนี่มันก็นิ่ง พอนิ่งแล้วมันก็ดีเขาเรียกว่ากรอง
เหมือนกันกับในแผ่นดินของเรานี่มันก็มีทั้งดินทั้งหินทั้งทรายสารพัดที่มีอยู่ มันมีก็อยู่ทั่วไป แต่จำเป็นที่จะต้องร่อนมัน คือร่อนมันไปร่อนมันมาก็กลายเป็นเพชร กลายเป็นพลอย กลายเป็นมรกต กลายเป็นทับทิม กลายเป็นซัฟไฟร์อะไรต่าง ๆ
ที่เป็นเพชรเป็นพลอย เราก็เก็บเอาเพชรเอาพลอยเหล่านั้นเป็นสมบัติของเรา เราก็เรียกว่าได้สมบัติที่มีค่า
เหมือนกันกับเรากลั่นกรองอารมณ์
เมื่อเรากลั่นกรองอารมณ์แล้ว อารมณ์ร้อยแปดพันประการก็หายไปเหลือแต่อารมณ์อันเดียวนั่นก็เริ่มแล้ว เริ่มจะเป็นเพชรเป็นพลอยแล้ว
เมื่อเป็นเพชรเป็นพลอยมาเราก็เจียระไน
เราได้มาแล้วเราเอาไปไว้เฉย ๆ มันก็เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง แต่ถ้าเอามาเจียระไนแล้วมันกลายเป็นของดี
จากความเป็นหนึ่ง เราได้ความเป็นหนึ่งสมใจมาแล้วเราก็ได้สมาธิ
พอเราเป็นสมาธิแล้วเราก็ได้พลังจิต
พอเราได้พลังจิตแล้วเราก็ได้กระแสจิต
เราได้กระแสจิตแล้วเราก็ได้แสงสว่าง เหมือนกันกับเราเจียระไนเพชรพลอยขึ้นมานี่ ทำให้จิตของเราสว่างผ่องใส
คนเรานั้นไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน
โก หิ นาโถ ปะโร สิยา ใครเล่าจะมาเป็นที่พึ่งของเราได้
อัตตานา หิ นะ สุทันเตนะ นาถัง ละภะติ ทุลละภัง เมื่อเราทรมานกายของเราเพื่อให้ใจสงบได้แล้ว เราก็ได้ที่พึ่งอันบุคคลจะพึ่งได้ยาก
เพราะฉะนั้นเราได้พลังจิตแล้ว พลังจิตอยู่กับเราแล้วเขาเรียกว่าเป็นมหากุศล
ทำไมถึงเรียกว่าเป็นมหากุศล
เพราะว่าพลังจิตนี้จะช่วยเราในทุกขณะ
ไม่ว่าเวลาวิกฤติใดเกิดขึ้นในชีวิตของเรานี้ก็สามารถที่จะแก้ไขไปในทางที่ถูกต้องได้
ตลอดจนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่เราจะดับชีพทำลายขันธ์ คือหมายความว่าถึงคราวเราจะตายนั้นน่ะ จิตมันจะต้องออกจากร่างนี้ไป พลังจิตก็ช่วยควบคุมจิตใจได้ไม่ต้องไปอบาย ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรต ไม่ต้องไปเกิดเป็นอสุรกาย ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก
ใจของเราก็สว่างผ่องใส อย่างน้อยที่สุดก็จุติสู่เทพ อย่างนี้เป็นต้น
อันนี้ก็คือการที่เราสร้างพลังจิต
จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่มแรก หน้าที่ ๑๖๙
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
๖๑.๐๔.๐๕
ใส่ความเห็น