พระพุทธเจ้าแสดงถึงปัญญา
ปัญญานั้นมีอยู่ ๒ ปัญญา ปัญญาโลกุตระ ปัญญาโลกียะ

ปัญญาทั้ง ๒ อย่างนี้จะต้องมีแก่ตัวของเรา
ถ้าหากว่าเราขาดปัญญาแล้ว เรามีทรัพย์สินเราก็ใช้มันไม่ถูกทางก็ทำให้เกิดภัยอันตรายแก่ตน
หรือเมื่อได้ทรัพย์สินมาแล้วใช้ไม่ถูกก็เสียหายไปโดยใช่เหตุ

เพราะฉะนั้นโลกิยะปัญญาจึงเป็นเครื่องคุ้มครองให้ท่านทั้งหลายมีครอบครัวที่เป็นสุข มีสังคมที่เป็นสุข เพราะอาศัยปัญญา ที่เรียกว่าโลกิยะปัญญา

ส่วนโลกุตระปัญญานั้นก็คือการทำสมาธิจิตใจของเราเพิ่มพูนพลังจิตให้มีกำลัง
เพราะในพลังจิตนั้นมีทั้งบุญ วาสนา บารมีที่รวมกันอยู่ในพลังจิต
เมื่อเรามีพลังจิตแล้วก็เท่ากันกับว่าเราได้ความดีทุกอย่างเท่าที่ความสามารถเราจะทำได้

เพราะฉะนั้นปัญญาจำเป็นที่จะต้องใช้ทั้ง ๒ ปัญญา

ถ้าหากว่าเราใช้ปัญญาเดียวก็จะต้องบวชเรียนหรือว่าเข้าป่าเข้าดงทำสมาธิพ้นทุกข์ไป
แต่ว่าในเมื่อโลกเรายังต้องมีการพัฒนา หรือมีการเป็นอยู่ หรือมีการเป็นไปจาก ๑๐ ปีเป็น ๑๐๐ ปี จาก ๑๐๐ ปีเป็นหลายร้อยปี ก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยโลกิยะปัญญาเป็นสิ่งที่คุ้มครอง

ปัญญานั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง บุคคลบางคนนั้นอาจจะเป็นผู้ที่มีความหวังดี แต่ว่าในความหวังดีนั้นกลายเป็นสิ่งที่ทำลายไปเสียก็ได้

ปัญญานั้นน่ะบางทีเราจะต้องเข้าใจว่าเราจะต้องศึกษา
คำว่าวิมังสานั้นคือการไตร่ตรอง การไตร่ตรองนั้นก็คือสติ สติก็ต้องเกิดขึ้นจากสมาธิ
เพราะฉะนั้นชีวิตของคนเรานี่เราจำเป็นที่จะต้องมีวิมังสาคือการไตร่ตรอง

การไตร่ตรองก็คือปัญญาที่เราจะต้องใช้ความรอบรู้
ปัญญาก็จะต้องเกิดขึ้นจากกระแสจิต
กระแสจิตก็เกิดขึ้นจากพลังจิต
พลังจิตก็เกิดขึ้นจากสมาธิ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอย่างนี้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๓๗๘
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๒.๒๕