ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมากับตัวของเรานั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาแล้วมันก็หายไป มันจะต้องฝังสนิทอยู่ในใจของเราตลอด

เช่นอย่างที่เราพากันมาฟังธรรม
เช่นอย่างที่เราพากันมาปฏิบัติทำสมาธิ
ทุกส่วนนั้นก็จะต้องฝังสนิทอยู่ในใจของเราตลอด

สิ่งเหล่านี้ถ้าฝังสนิทอยู่ในใจตลอดมันก็เป็นเชื้อ หรือเรียกว่าเป็นเชื้อที่ส่งกระแสให้เรานั้นเกิดความสุข ความสบาย

ทีนี้ส่วนที่เราไปสะสมในสิ่งที่ผูกพยาบาท อาฆาต จองเวร ตลอดจนกระทั่งการสับสนวุ่นวายต่าง ๆ เหล่านั้น เรียกว่า สะสมซึ่งบาป
คำว่าสะสมซึ่งบาปก็คือสะสมในสิ่งที่ไม่ดี
เมื่อสะสมในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งไม่ดีเหล่านั้นมันไม่หายไปไหน มันก็จะฝังในใจของบุคคลผู้นั้น
เมื่อฝังอยู่ในใจของบุคคลผู้นั้นโอกาสที่มันจะแสดงฤทธิ์ มันก็จะแสดงฤทธิ์ให้กับเรา จนกระทั่งเราสามารถทนไหวมั้ย ทนไม่ไหวก็เสียใจไป ทนไม่ไหวก็เศร้าโศรก
ถ้าทนไหวก็ไม่เป็นไร แต่ทนไม่ไหวก็เศร้าโศรกไป มันจะต้องแสดงฤทธิ์

เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำนั้นอย่าไปคิดว่าทำแล้วแล้วกัน ทำแล้วมันจะต้องเป็นเชื้อหรือเป็นเครื่องที่ฝังอยู่ในใจของเรา

หลวงพ่อจึงบอกว่าใจของคนเรานี่เหมือนกันกับไลบรารี่ (Library)
ใจของคนเรานี่มันเหมือนกันกับห้องสมุด

มันจะเก็บไว้ทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบุญ มันก็เก็บ ไม่ว่ามันจะเป็นบาป มันก็เก็บ
แล้วก็เวลาเก็บเอาไว้แล้วนี่ไม่ใช่เก็บแล้วมันก็อยู่เฉย ๆ

บาปมันก็ต้องแสดงฤทธิ์ บุญก็จะต้องแสดงฤทธิ์

บุญแสดงฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข ความสบาย ความปลอดโปร่ง ความสำเร็จ ความชื่นใจ ความประทับใจ ความที่มีค่าของชีวิต อันนี้เรียกว่าส่วนบุญ

ส่วนบาปนั้นก็ทำให้เกิดความเศร้าใจ ความพยาบาท เกิดอาฆาต เกิดความจองเวร เกิดความเห็นแก่ตัว เกิดความสับสน เกิดความวุ่นวาย เกิดความขุ่นมัว
ไม่ใช่ขุ่นมัวตัวคนเดียว ไปทำให้คนอื่นขุ่นมัวด้วย อย่างนี้เขาเรียกว่าจำพวกบาป

จำพวกบาปมีผลต่างกัน
จำพวกบุญมีผลต่างกัน
จำพวกบาปนั้นก็จะต้องเกิดสิ่งที่ไม่ดีในชีวิต มีอะไรต่าง ๆ ที่จะประดังกันทำให้ชีวิตของเรานั้นพลาดพลั้ง
ทำให้ชีวิตของเรานั้นเศร้าหมอง
ทำให้ชีวิตของเรานั้นไร้ค่า
ทำให้ชีวิตของเรานั้นเป็นสิ่งที่ดำมืด
ทำให้ชีวิตของเรานั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ อย่างนี้ นี่จำพวกบาปทั้งหลาย

ส่วนจำพวกบุญทั้งหลายนั้นส่งเสริมให้เราเกิดความเอิบอิ่ม
ส่งเสริมให้เราเกิดความสำเร็จผล
ส่งเสริมให้เรามีความประทับใจมีค่าในชีวิตว่าชีวิตของเรานี้เป็นสิ่งที่มีค่าโดยแท้จริง

แท้ที่จริงแล้วนั้นชีวิตของคนเรานั้นหาประเมินค่าไม่ได้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๓๗๔
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๒.๒๓