เราทั้งหลายจงตั้งจิตของเราให้มีเมตตา

เมตตานั้นคือการที่จะเฉลี่ยความสุขของตนแบ่งปันแก่บุคคลอื่น
เราทำงานสาธารณะประโยชน์ช่วยเหลือคนอื่นเหล่านี้เรียกว่าเราเป็นผู้มีเมตตา

การที่จะมีเมตตาได้นั้นจิตใจของผู้นั้นจะต้องเข้มแข็ง

เพราะว่าอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดในระหว่างที่ชีวิตเรามีอยู่นั้นมันมีมากมาย สารพัดอุปสรรคที่เราจะต้องฝ่าฟันมันไป
แต่ถ้าหากว่ามีจิตเมตตาซะอย่างแล้ว แม้อุปสรรคเหล่านั้นจะมากมายเพียงใด เราก็สามารถที่จะชนะหรือว่าผ่านพ้นอุปสรรคไปได้

อุปสรรคใหญ่ยิ่งก็คืออุปสรรคที่เรามีจิตใจที่ไม่ได้รับการพัฒนา

จิตใจที่ไม่ได้รับการพัฒนานั้นก็คือจิตใจที่อยู่ในขั้นต่ำ
จิตใจที่ไม่ได้รับการพัฒนานั้นย่อมไม่ได้คิดถึงความดี จิตดวงนั้นไม่สามารถที่จะคิดถึงบุญถึงกุศลได้ แม้ว่าจะคิดถึงจะมาทำสมาธิ ก็คิดไม่ถึง เพราะว่าจิตใจนั้นมันต่ำเกินไปแล้ว

แต่ถ้าหากว่าจิตใจไม่ต่ำเกินไป อยู่ในขั้นมีการพัฒนาขึ้น จิตใจนั้นก็จะมีเมตตาขึ้นมาได้
เมื่อจิตใจนั้นมีเมตตาขึ้นมาได้ ก็เมตตาตนซะ แล้วก็เมตตาคนอื่นด้วย

เมตตาตนก็หมายความว่าสร้างความดีให้แก่ตน จะเป็นบุญเป็นกุศลเท่าไหร่ก็สร้างความดีให้แก่ตน
มีสิ่งใดที่ควรที่จะอภัยแก่กันและกันก็ตั้งจิตให้เป็นกุศล ไม่ให้จิตนั้นมีการอาฆาตพยาบาทจองเวร แล้วก็ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง จิตใจนั้นก็จะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อจิตใจพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั้นความสุขมันก็เป็นเงาตามตัวมาด้วย

ด้วยเหตุอย่างนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มนุษย์เรานี่มีความประเสริฐ มีความเลิศ จงรักษาความประเสริฐ ความเลิศของมนุษย์เอาไว้ เราก็จะประสบความสุข ความเจริญได้แท้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๒๙๖
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๒.๐๒