คนสมัยเก่านี่เขาจะเถียงกันว่าปัญญากะทรัพย์อันไหนจะดีกว่ากัน

ใครจะชนะ บางทีคนก็ว่าทรัพย์แหละชนะ บางคนก็ว่าปัญญานั่นแหละชนะ

เถียงกันไปเถียงกันมาไม่รู้กี่ปีก็ยังตกลงกันไม่ได้ ในที่สุดก็มีนักปราชญ์ที่ฉลาดสามารถอธิบายได้ ปัญญาก็เลยชนะทรัพย์ไป

เพราะว่าถ้าไม่มีปัญญาแล้วทรัพย์มันเกิดไม่ได้
ถ้าไม่มีทรัพย์แล้วปัญญาก็ไม่เกิดอีก คิดได้เหมือนกันแต่มันทำไม่ได้เพราะมันไม่มีทรัพย์
แล้วทีนี้ไอ้ทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นมาได้ ทรัพย์ก็ต้องเกิดมาจากปัญญา
ถ้าไม่มีปัญญาจะไปมีทรัพย์ได้ยังไง ตกลงก็เถียงกัน
แต่ในที่สุดปัญญาชนะ

พระพุทธเจ้าได้ตั้งอัครสาวกเบื้องขวาที่ชื่อว่าท่านพระสารีบุตรเลิศทางปัญญา
พระโมคคลาเลิศทางฤทธิ์ก็ให้อยู่เบื้องซ้าย
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ยกย่องปัญญา

ปัญญานั้นน่ะคือการเข้าใจถึงเหตุผล
คนเรานี่จำเป็นต้องมีเหตุผล ถ้าหากว่าไม่มีเหตุผลแล้วเราก็อยู่ด้วยกันไม่ได้
ถ้าไม่มีการรับผิดชอบคนเราก็อยู่ด้วยกันไม่ได้

คนก็ต้องมีการรับผิดชอบ แล้วก็คนจะต้องมีเหตุผล
ทั้ง ๒ อย่างนี้ก็จะเกิดขึ้นด้วยปัญญา

เพราะฉะนั้นสังคมที่มีความสุขจึงเป็นสังคมที่เขาใช้ปัญญา แล้วก็มีปัญญาที่จะใคร่ครวญ
เพราะว่าปัญญานั้นยังมีแนวทางที่จะนำชีวิตไปสู่สุขคติ หรือนำชีวิตไปสู่ความเจริญ

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๒๓๙
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๑.๒๕