ใจของคนเรานั้นเปรียบประดุจภาชนะเป็นเครื่องรองรับ

เพราะว่าการรองรับธรรมะนี่เขาเรียกว่ารองรับแบบถาวรคือไม่มีการสูญเสีย
เราจะฟังธรรมะกี่ข้อตั้งแต่เราเกิดมา ตั้งแต่เรารู้ความ ตั้งแต่เราได้เริ่มรับรสพระสัทธรรม ไม่ว่าจะเป็นน้อยหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมาก สิ่งเหล่านั้นจะตกค้างแล้วฝังสนิทอยู่ในใจของเราทุก ๆ คน และธรรมเหล่านี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งแล้วจะเป็นที่อาศัยที่เราจะได้อาศัยต่อไป

เพราะว่าธรรมะหรือการให้ทานรักษาศีลภาวนารวมกันแล้วเขาเรียกว่าธรรมะ สิ่งเหล่านี้นั้นจะตามไปช่วยเราในทุกฐานะ ไม่ว่าเราจะไปตกระกำลำบากที่ไหน ไม่ว่าจะไปที่ใด บุญจะต้องตามช่วยเราไปโดยตลอด
ตรงกันข้ามกับบาป

ท่านกล่าวว่าบุญเป็นส่วนที่เรียกว่าน้ำดี บาปนั่นเขาเรียกว่าน้ำเสีย
ถ้าหากว่าน้ำดีนั้นมากน้ำเสียก็ถอยออกไป

ทำไมท่านถึงเปรียบเทียบอย่างนั้น เพราะว่าบุญนั้นมีอานุภาพ

ไม่มีอะไรที่จะไปไล่น้ำเสียได้เท่ากันกับบุญที่เราพากันทำ
เพราะว่าบุญหรือเรียกว่าการประพฤติธรรมนี่นับไปตั้งแต่การฟังธรรมพระเทศนา หรือการบริจาคต่าง ๆ หรือการปฏิบัติสมาธิ ทั้งหมดทั้งสิ้นเหล่านี้ถือว่าเป็นบุญ และบุญนี้จะมีอานุภาพ
อานุภาพของบุญนั้นท่านกล่าวไว้ว่าหาประมาณมิได้

เพราะอะไร
เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์
บางคนเราเห็นอยู่ว่าตกทุกข์ได้ยาก อยู่ ๆ ก็รวยขึ้นมาฉับพลัน นั่นคือบุญได้ไล่น้ำเสียออกไป น้ำเสียก็ต้องถอยออกไป แล้วคนนั้นก็ได้เสวยบุญต่อมา

บุญที่ท่านทั้งหลายได้ทำแล้วนั้นอานุภาพของบุญนี้มหาศาล จะดลบันดาลให้บุคคลเป็นได้สารพัด หรือเรียกการปฏิบัติธรรมก็ถือว่าเป็นบุญนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มหาศาล

บุญกุศลก็ดี สิ่งที่เราได้สร้างเอาไว้มันไม่หายไปไหน มันจะอยู่คอยช่วยเราจนกระทั่งกว่าเราจะถึงพระนิพพาน

เพราะฉะนั้นการสร้างบุญไม่ว่าจะอะไรก็ตามพยายามทำไปตามความสามารถ และเมื่อได้เวลาที่สมควรเราก็ควรทำสมาธิให้เกิดขึ้น
เมื่อทำสมาธิให้เกิดขึ้นบุญมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๒๑๐
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๑.๑๙