เราจะแก้กันอย่างไรที่จะแก้อารมณ์อันนี้

เราก็จะต้องแก้กันด้วยการทำสมาธิภาวนา
เพราะฉะนั้นในวัดต่าง ๆ ท่านจึงชวนบอกว่าไปสวดมนต์กันนะ การสวดมนต์นั้นน่ะได้อานิสงส์
ได้อานิสงส์เพราะอะไร

การสวดมนต์เช่นอย่างอิติปิโสก็ดี หรือการสวดอะไรก็ดี ใจเป็นคนสวด
เมื่อใจเป็นคนสวดแล้วนี่ใจมันก็จะขจัดอารมณ์ไปในตัวเสร็จ

ใจตัวนี้นั่นเองแหละที่ไปคว้าอารมณ์ต่าง ๆ
เมื่อเวลาสวดมนต์ขึ้นมาแล้วนี่ใจมันก็ไม่ไป มันไปอยู่ที่อิติปิโส มันไปอยู่ที่การสวด
เพราะฉะนั้นเราจึงได้อานิสงส์
ได้อานิสงส์ตอนที่ว่าใจของเรานี่มันไม่ไปเกาะอารมณ์นู้น มันเกาะอยู่ที่การสวดมนต์
เพราะฉะนั้นท่านจึงได้กล่าวว่าการสวดมนต์นี่มันมีอานิสงส์มาก

เราจะทำยังไงกับอารมณ์ของเรานี่ให้อารมณ์ของเรานี่มาอยู่ในฐานะปรกติ มาอยู่ในฐานะที่มันได้กุศล มาอยู่ในฐานะที่สามารถทำให้เกิดคุณงามความดีขึ้นมาได้

เราจำเป็นต้องทำสมาธิ
การทำสมาธินี่อันดับแรกที่สุดของการทำสมาธิคือการบริกรรม
การบริกรรมนั้นหมายความว่าทำจิตให้เป็นหนึ่ง
คำบริกรรมนั้นเราจะพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ บริกรรมอะไรก็แล้วแต่เมื่อเราบริกรรมแล้วจิตมันก็จะเป็นหนึ่ง
เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้วจิตมันก็จะเป็นสมาธิ
เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วนี่อารมณ์มันก็จะหายไป
มันจะหายไปซักชั่ว ๕ วัน ๗ วัน ชั่วโมงนึง ๒ ชั่วโมงมันก็ยังดีกว่าที่เราจะแบกหามอารมณ์นี่เข้าให้ตัวของตนเองเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง

เพราะฉะนั้นการไปฟังธรรมก็ดีหรือการที่พวกเราทั้งหลายได้มาทำสมาธิก็ดี เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นทางที่ทำให้ท่านทั้งหลายเกิดกุศลจิต

นอกจากเกิดกุศลจิตแล้วเรายังได้พลังจิต
นอกจากได้พลังจิตแล้วเรายังได้กระแสจิต

กระแสจิตก็จะทำอะไรให้เราบ้าง
กระแสจิตก็จะทำความสุข
ความสุขที่เกิดขึ้นวูบ ๆ วาบ ๆ หรือความสุขที่เกิดขึ้นเบาตัวเบากายเบาใจ ความสุขที่เกิดขึ้นจากสมาธิเอิบอิ่มซาบซึ้ง อันนี้คืออะไร อันนี้คือกระแสของจิต กระแสจิตที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิ มันเป็นอย่างนั้น

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๑๙๙
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓ / ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๑.๑๖