ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ”

การให้ทานธรรม การรับทานธรรม ย่อมชนะเสียซึ่งการให้ทั้งปวง

ก็หมายความว่าการให้ทานนี่หลาย ๆ อย่าง ธรรมะเป็นการให้ทานที่มีอานิสงส์มาก
เพราะอะไร

เพราะว่าการฟังธรรมนี่เขาเรียกว่าทางด้านจิตใจ สอนกันด้านจิตใจ
เพราะใจของคนเรานี่มันสำคัญ เป็นตัวสั่งการ ให้คนร้องไห้ ให้คนหัวเราะ พอเวลาชนะก็หัวเราะ พอเวลาแพ้ก็ร้องไห้
อันนี้คือเป็นอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อิฏฐารมณ์และอนิษฐารมณ์

อิฏฐารมณ์พอใจเราได้ อนิษฐารมณ์เสียใจเราเสีย มีอยู่เท่านี้
ทีนี้เมื่ออารมณ์ที่เราพอใจเราเดินไปไหนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พอเราได้อารมณ์ที่เสียใจเดินไปไหนก็หน้าเบี้ยวหน้าบูด นี่คือการสั่งของใจ

คนเราหารู้ไม่ว่าเรานี่เป็นทาสของใจ
ใจนี่จะเป็นต้นเป็นประธานที่สั่งให้พวกเราทั้งหลายทำอะไรอยู่ทุกวันนี้ จะเดิน จะวิ่ง จะรับประทาน จะถ่าย จะทำอะไรการงานทุกอย่างใจเป็นผู้สั่งการทั้งนั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมาสอนเอาตรงใจนี่เพื่อจะให้ถูกจุด ไม่ให้เมื่อเวลาเราได้ก็ไม่ดีใจเกินไป เมื่อเวลาเสียก็ไม่เสียใจจนเกินไป
การดีใจจนเกินไปนี่บางทีก็ตาย การเสียใจเกินไปนี่บางทีก็ตาย ตายเพราะดีใจ ตายเพราะเสียใจ

เมื่อเสียใจจนเกินไปสิ่งที่ปรารถนาไม่ได้สมความหวัง ความเสียใจนั้นมันก็ไปแทงใจ มันก็ไปฝังอยู่ในใจ
มันก็กลายเป็นจุดดำอยู่ที่ใจนั่น ไม่รู้จักหาย
เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็เป็นหนทางทำให้เกิดความทุกข์แล้วก็เป็นโรคเป็นภัย
ทำให้เกิดความลำบากแก่ผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้พวกเราพากันมาฟังธรรม
ฟังธรรมนี่พระท่านก็สอนให้ว่า ความเกิดก็ดี ความแก่ก็ดี ความเจ็บก็ดี ความตายก็ดี ความเสียใจร้องไห้ร่ำไรรำพันก็ดี ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สมความปรารถนาก็ดี สิ่งเหล่านี้ทำความทุกข์ให้แก่เรา

แล้วทีนี้เราจะแก้อย่างไร แก้ความทุกข์เหล่านี้ได้อย่างไร

ก็แก้อยู่ตรงที่ว่าอารมณ์ อารมณ์ต่าง ๆ นี่ที่มันทำให้เราเสียใจก็อารมณ์ ทำให้เราดีใจก็อารมณ์
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาแก้กันที่อารมณ์

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๑๙๗
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๑.๑๕