ดวงตาเห็นธรรมเราก็เห็นว่าพระพุทธเจ้านั้นพระองค์เป็นผู้ประเสริฐ พระธรรมนั้นเป็นของประเสริฐ พระสงฆ์เป็นผู้ประเสริฐ เราก็มองเห็นชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นกับเรา

การที่เราจะให้เพชรพ้นไปจากตมนั้นคือความที่เรามีดวงตาเห็นธรรมนั่นเอง

ดวงตาเห็นธรรมไม่ใช่ว่าเรามีความเชื่ออย่างงมงาย
ถ้าเรามีความเชื่ออย่างงมงายนั้นเรายังไม่มีดวงตาเห็นธรรม
ถ้าเราเชื่ออย่างมีเหตุผลถือว่าเรามีดวงตาเห็นธรรม

เรามองดูพระเจ้าพระสงฆ์ เรามองดูผู้คนทั้งหลาย ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เรากราบไหว้ท่านเพราะเรามีดวงตาเห็นธรรมแล้ว
ถ้าหากว่าผู้ที่ไม่ปฏิบัติดีไม่ปฏิบัติชอบ พากันประพฤติผิดธรรมผิดวินัย พากันหลีกเลี่ยงคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำพระพุทธศาสนาให้เศร้าหมอง เราก็ไม่กราบไหว้เพราะเรามีดวงตาเห็นธรรมแล้ว
ถ้าคนไม่มีดวงตาเห็นธรรมก็งมงายไปตามเรื่อง นั่นก็เรียกว่าได้บุญบ้าง ก็ได้บ้างแต่ว่าไม่เต็มร้อย
ถ้าหากว่าเรามีดวงตาเห็นธรรมแล้วเราก็เลือกคัดจัดสรรในจิตใจของเราได้ว่าเราจะทำบุญที่ไหน เราจะสร้างกุศลอะไรที่ไหน เพราะเรามีดวงตาเห็นธรรม

เราสร้างกุศลก็เกิดขึ้นแก่เราอย่างมากมาย
ตลอดจนกระทั่งเราได้พากันมาทำสมาธิให้แก่ตัวเราเอง ดวงตาเห็นธรรมมันก็ยิ่งจะชัดเจนขึ้นตามลำดับ

เมื่อเป็นเช่นนั้น ใจของเราก็กลายเป็นเพชร ก็คือกลายเป็นรัตนะนั่นเอง
เมื่อใจเป็นรัตนะแล้วนี่เราก็ไม่ต้องไปนรก เราไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เราไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย เราก็มีแต่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นผู้บริสุทธิ์ นอกนั้นก็ไปเกิดเป็นเทพ อย่างนี้เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จะต้องทำตัวของเราให้มีดวงตาเห็นธรรม ก็จะทำให้เรานี่สามารถเอาเพชรขึ้นจากตมขึ้นมาได้ คือจากใจของเรา ก็จะเป็นเพชรคือเป็นรัตนะนั่นเอง

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๒๗๑
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๙.๑๓