เมื่อเรามาแล้วเราก็เกิดมาในตระกูลสัมมาทิฏฐิ เข้าใจในอรรถในธรรมเราก็อยู่ในศีลในธรรม นั่นเรียกว่าเริ่มต้นมาดีแล้ว

ต่อมาเราก็ต้องมีชีวิตในครอบครัวแล้วก็มีชีวิตต่อไปถึงที่สุดก็เรียกว่าไปดีอีก อย่างนี้เป็นต้น

เพราะว่าเราไม่ได้ไปคดโกงใคร เราไม่ได้ไปโกหกหลอกลวงใคร เราไม่ได้ไปฆ่าใคร เราไม่ได้ไปทำร้ายใคร อย่างนี้เราก็ถือว่าเรามีศีลธรรมอยู่ในตัวเสร็จ

เมื่อเป็นเช่นนั้นในธรรมะต่าง ๆ เหล่านี้สามารถที่จะพัฒนา
พัฒนาอย่างต่ำให้เป็นอย่างกลาง พัฒนาอย่างกลางให้เป็นอย่างสูงสุด นี่ที่พวกเราสามารถทำได้
การที่จะพัฒนาตัวเราได้นั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสอยู่แล้วว่า “อธิจิตเต จะ อาโยโค” บอกว่าพากันทำสมาธิเถอะ

ไม่ใช่แต่ว่าหลวงพ่อชักชวนให้ท่านทั้งหลายทำสมาธิ แต่พระพุทธองค์นั่นแหละได้แนะนำท่านทั้งหลายว่า สมาธินี้คือพุทธธรรมนูญมาตราที่ ๓

พุทธธรรมนูญมาตราที่ ๑ ก็คือไม่ทำความชั่ว
มาตราที่ ๒ ก็ให้ทำความดี
มาตราที่ ๓ ก็ให้ทำสมาธิ ว่าไว้ชัดเจน
แต่ว่าพวกเราก็พากันมีความรู้เลยเถิดไปแล้วก็มาลืมการทำสมาธิซะ มันก็เลยขาดพุทธธรรมนูญไปข้อหนึ่ง

เราจะสังเกตุดูตัวของเราว่าเวลานี้เราได้ปฏิบัติตามพุทธธรรมนูญที่พระพุทธเจ้าวางไว้หรือเปล่า
ในวันหนึ่งแต่ละวันนี่เราได้ทำมั้ย
เราพิจารณาดูตัวของเราไม่ได้ทำ ก็แสดงว่าเรานั้นได้ขาดตกบกพร่องไปแล้ว
เมื่อขาดตกบกพร่องไป ก็ตัวของเราก็เลยหาระเบียบอะไรไม่ได้
เมื่อหาระเบียบไม่ได้มันก็เลยไม่มีที่ยึด
เมื่อไม่มีที่ยึดเวลาที่ดับชีพทำลายขันธ์นั่นน่ะเป็นเวลาสำคัญ เราก็หาอะไรยึดไม่ได้
เมื่อหาอะไรยึดไม่ได้ก็ตามบุญตามกรรม

ถ้าหากว่านึกถึงบุญได้ก็ไปดี ถ้านึกถึงบาปได้ก็ไปชั่ว อย่างนี้มันก็เรียกว่าตามบุญตามกรรม

แต่ว่าถ้าเราได้ปฏิบัติตามพุทธธรรมนูญแล้วนี่ไม่ใช่เราจะไปตามกรรมอย่างนั้น เราไปในทางที่ดีฝ่ายเดียว
เรียกว่าเราจัดระเบียบชีวิตของเราถูกต้องแล้ว

พระพุทธเจ้าได้แนะนำไว้อย่างชัดเจนเลยว่าเราจะต้องทำอย่างนี้ แล้วเราก็จะกลายเป็นสุคะโต เป็นผู้ที่มาดีและไปดี

แล้วในการที่เราพากันทำนั้นน่ะ คือทำเป็นสุคะโตนี่ไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจ อยู่ที่ตัวของเราเอง
อยู่ที่เราจะมีความสามารถในการที่เราจะดำเนินการบุญการกุศล ความดีงามต่าง ๆ เหล่านี้ได้แค่ไหนเพียงไร

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๔ หน้าที่ ๒๖๗
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๙.๑๐