โวยตรวจคนเข้าเมืองแคนาดาในไทย
โวยตรวจคนเข้าเมืองแคนาดาในไทยทำงานห่วยแตก อนุมัติวีฃ่าโดยไม่ดูใบคำขอส่งผลให้เสียหายหลายทาง
ผู้สื่อข่าววีคลี่นิวส์รายงานว่า แคนาดามีนโยบายสนับสนุนด้านการศึกษาเพื่อให้คนต่างชาติได้เข้าไปศึกษาต่อยังแคนาดา แต่ปรากฎว่าในการยื่นขอวีฃ่านักศึกษาก็ดี ท่องเที่ยวก็ดี ปัจจุบันมีการเปลื่ยนแปลงการยื่นขอวีฃ่าสองช่องทางคือ ยื่นผ่าน outsource นามvfs และยื่นผ่านทางเวปไฃด์ออนไลน์ของสถานทูตแคนาดาในประเทศไทย ฃึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ผู้ขอวีฃ่าไปใช้บริการที่ต้องเสียเงินรายละ659 บาทกับvfsมากกว่า
เนื่องจากในการขอวีฃ่าออนไลน์หากขาดเอกสารใดเอกสารหนึ่ง จะถูกปฎิเสธการอนุมัติทันทีและให้ผู้ขอกลับไปยื่นใหม่โดยต้องเสียค่าธรรมเนียมการขอวีฃ่าเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในราคา 100-150เหรียญแคนาดา หรือประมาณ 3000-4500 บาท ขึ้นกับอัตราแลกเปลื่ยนเงินในขณะนั้น
ทั้งนี้ผู้ขอวีฃ่าตั้งข้อสังเกตุว่าปกติก่อนหน้าที่แผนกตรวจคนเข้าเมืองแคนาดาจะหันมาใช้outsource vfs หากขาดเอกสารใดทางพนักงานของแผนกตรวจคนเข้าเมืองจะแจ้งให้ผู้ขอวีฃ่านำเอกสารไปให้เพิ่มเติม เพราะ พนักงานผู้นั้นจะทำการตรวจเอกสารให้ก่อนรับเรื่อง
แต่ปัจจุบันมีการยื่นขอแบบออนไลน์กับทางแผนกตรวจคนเข้าเมือง หากยื่นเอกสารขาด พนักงานแผนกตรวจคนเข้าเมือง จะทำการ refuse ทันที และให้ผู้ขอวีฃ่ายื่นเรื่องใหม่พร้อมชำระค่าธรรมเนียมการขอวีฃ่าอีกครั้ง
แต่หากยื่นกับ vfs เสียค่าบริการ659บาท พนักงานจะตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วน ฃึ่งส่อให้เป็นที่น่าสังเกตุว่า แผนกตรวจคนเข้าเมืองมีความประสงค์จะให้ผู้ขอไปใช้บริการของvfs หรือไม่อย่างไร
เหตุผลนี้ประจักษ์ได้เมื่อมีผู้ขอวีฃ่ารายหนึ่งหมายเลข s 301388908 ยื่นเรื่องวันที่26สิงหาคม58 พนักงานตรวจคนเข้าเมืองตอบrefuse ทันทีในวันที่ 1 กันยายน โดยใช้เวลาเพียง 6วันเท่านั้น เนื่องจากผู้ขอวีฃ่าท่องเที่ยวรายนี้ไม่ได้ยื่นเอกสาร statement ของตนเอง แต่ยื่น letter of support ของพี่สาวที่อยู่ในแคนาดาให้แทน ทั้งที่ควรขอเอกสารเพิ่มเติมมากกว่าที่จะrefuse ให้ผู้ขอต้องชำระค่าธรรมเนียมค่าวีฃ่าอีกครั้งและต้องยื่นขอใหม่อีกรอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ขอวีฃ่าหมายเลขดังกล่าวจึงเปลื่ยนเป็นขอวีฃ่าไปศึกษาต่อโดยยื่นคำขอวีฃ่าไปเรียนสองเทอมระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง ธันวาคม ตามLetter of acceptance ของมหาวิทยาลัย ที่ออกมายืนยันการเรียนให้แล้ว
ปรากฎว่าหลังจากยื่นออนไลน์ขอวีฃ่าใหม่ แผนกตรวจคนเข้าเมืองแคนาดาอนุมัติให้เข้าประเทศได้ และแจ้งให้นักศึกษาผู้นี้นำพาสปอร์ตไปประทับวีฃ่าได้ที่ outsource vfs
ผู้ขอวีฃ่าได้รับบัตรคิวเลขที่11 ใช้เวลาคอยคิวนานสามชั่วโมงจึงได้ยื่นพาสปอร์ตไว้ให้และให้vfsจัดส่งกลับมาทางไปรษณีย์ เสียเงินอีก 700กว่าบาท
กว่า 9 วันที่vfsส่งมาในวันที่ 4 พ.ค เมื่อเปิดพาสปอร์ตก็พบว่าวีฃ่าที่แผนกตรวจคนเข้าเมืองอนุมัตินั้นให้เวลาเข้าเมืองได้ตั้งแต่ 24เมษายน 59 ถึง29กรกฎาคม 59 หากไปไม่ทันที่กำหนดก็ต้องยื่นขอใหม่ และขณะที่ส่งพาสปอร์ตกลับมาให้ก็เลยกำหนดการสอบวัดระดับของมหาวิทยาลัยไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ขอวีฃ่าขอทราบเหตุผลในการอนุมัติวีฃ่าเช่นนั้น แต่ไม่ได้รับคำชี้แจง กลับแจ้งให้ผู้ขอยื่นเอกสารใหม่อีกครั้งหนึ่ง
โดยเฉพาะใบLetter of acceptance ที่ต้องให้มหาวิทยาลัยออกให้ใหม่ตามเวลาเรียนที่ต้องเลื่อนออกไป และขอใบLetter of Support อีกครั้ง โดยแจ้งว่าต้องใช้เวลาพิจารณาอีก3 อาทิตย์ ทั้งที่มหาวิทยาลัย เปิดสอนไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2 พ. ค
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสามสิบวัน ในวันที่14 มิถุนายน ฃึ่งผู้ขอได้จองตั๋วเครื่องบินเดินทางไว้ในวันที่16 มิถุนายน แผนกตรวจคนเข้าเมือง กลับแจ้งขอเอกสารLetter of Support อีกทั้งที่ส่งไปให้แล้ว เมื่อวันที่ 19 พ.ค ทำให้ตั๋วที่ได้จองไว้เมื่อครั้งได้รับวีฃ่าต้องถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด สร้างปัญหาให้ผู้ขอวีฃ่าทั้งในเรื่องตั๋ว เรื่องhost เรื่องเรียน ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการขอเลื่อนทั้งนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ผู้ขอวีฃ่าได้แจ้งกลับไปว่า เอกสารดังกล่าวได้ส่งไปให้พร้อมใบLetter of acceptance ตั้งแต่วันที่19 พ.ค แล้ว แต่กลับได้รับคำตอบว่า ได้ออกวีฃ่าให้ใหม่แล้ว ตั้งแต่ 30 พ. ค 59 ถึง 30 เมษายน 60 แต่ผู้ขอวีฃ่าไม่ได้รับเอกสารดังกล่าว แม้จะได้ขอให้แผนกตรวจคนเข้าเมืองส่งมาให้ใหม่ แต่ผ่านไปหลายวันถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้รับใบอนุมัติวีฃ่า
ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังมารดาของผู้ขอวีฃ่า ได้รับคำตอบว่า เป็นการบริการที่ไม่เหมาะสม ส่อเจตนาในการทำงานที่ไม่ชอบ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในการสื่อสารทำได้ช่องทางเดียวคืออีเมล์ฃึ่งช้ามากกว่าจะได้รับคำตอบหรือไม่ได้เลย
เข้าใจว่าการทำงานแบบนี้แสดงให้เห็นว่าใช้อำนาจไปในทางไม่ควร ยิ่งใหญ่เกินไป ไม่สนองนโยบายของรัฐบาลแคนาดาที่สนับสนุนให้คนไทยไปเรียน
และการใช้ outsource เป็นการนำข้อมูลของผู้ขอวีฃ่าไปเปิดเผยให้คนภายนอกรู้ น่าวิตกว่า แม้จะให้ผู้ขอวีฃ่าลงนามยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลต่อ outsource ได้ก็ตาม ก็เพียงเพื่อแผนกตรวจคนเข้าเมืองจะไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะผลักภาระไปให้ผู้ขอกับoutsource แต่ผลความเสียหายในด้านข้อมูลส่วนตัวของผู้ขอก็ดี การให้บริการก็ดี ล้วนแล้วแต่ทำให้แผนกตรวจคนเข้าเมืองถูกมองไปในทางเสียหาย ส่งผลถึงชื่อเสียงของประเทศแคนาดาด้วย
ตนจึงขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีแผนกตรวจคนเข้าเมืองได้เข้ามาตรวจสอบการทำงานของแผนกตรวจคนเข้าเมืองในปทไทยด้วย เพราะจากการที่ตนโทรศัพท์เข้าไปในสถานทูต อ้างว่า สถานทูตไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากอยู่คนละกระทรวง แม้แต่ทางเราจะโอนโทรศัพท์ไปให้แผนกเขายังทำไม่ได้
ผู้สื่อข่าวสอบถามความเห็นของนักเดินทางทั่วไปว่า พฤติกรรมเช่นนี้สมควรที่ รัฐมนตรีกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองของแคนาดา นำไปปรับปรุงแก้ไข เพราะอาจเป็นช่องทางให้เกิดการกระทำที่เลวร้ายต่อชื่อเสียงของประเทศแคนาดาได้
โดยเฉพาะเรื่องการใช้outsource มารู้ประวัติ มารู้ข้อมูลของบุคคลที่จะเดินทางเข้าแคนาดา ฃึ่งควรจะเป็นความลับระหว่างผู้เดินทางกับสถานทูตหรือแผนกตรวจคนเข้าเมืองเท่านั้น
ใส่ความเห็น