ความคิดปลัดคลัง-ขึ้นภาษีแวตให้คนหันมาใช้บัตรพลาสติคมากขึ้น

นาย สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดคลัง ยุคคสชแต่งตั้ง เป็นถึงด๊อกเตอร์ ดีกรีต่างปท เป็นที่คาดหวังมากว่าจะมีแนวคิด แนวปฎิบัติให้สมกับความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา

image

ความคิดของท่านที่ออกมาส่วนใหญ่ถูกวิพากย์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยแทบจะทุกเรื่อง อาทิ เรื่อง หนี้กยศ ฯลฯ

ล่าสุดท่านขอความเห็นปชชว่า จะให้ปชชนิยมใช้บัตรอีเลคโทนิคให้มากขึ้น เพราะแต่ละปีมีความสูญเสียเรื่องการใช้ธนบัตรเป็นหมื่นล้านบาท
จึงอยากให้ปชชหันมาใช้บัตรพลาสติคนี้ให้มากขึ้น

วิธีการของปลัดคลังคนนี้คือ หากปชชใช้บัตรพลาสติคฃื้อสินค้า จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม7%เท่าเดิม แต่ถ้าใช้เงินสดฃื้อจะเสียภาษี 10%

ไม่รู้คนความรู้ถึงดอกเตอร์คิดได้แบบนี้ บรรเจิดมาก

ขณะที่ร้านค้ากำหนดว่าใครใช้บัตรพลาสติคได้ส่วนลด 5% ใครใช้เงินสดจ่ายลดให้10%

อันนี้คิดตามร้านค้าได้ว่า ใครใช้บัตรพลาสติค ฃึ่งคือบัตรเครดิตจ่าย ร้านค้าจะถูกชาร์ตจากบัตร3% แต่ถ้าใช้เงินสด ร้านค้าจะได้เงินเต็มๆไม่ถูกใครมาชาร์ตให้กำไรลดลง

ความคิดของปลัดคลังคนนี้ ออกมาเพื่อสอบถามปชช ฃึ่งไม่ว่าจะขบขัน เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อย่างไร ก็ขอให้ปชชช่วยตอบท่านหน่อย

แต่ผู้เขียน ไม่เห็นด้วย

เหตุผล เพราะว่า การเสียภาษีเป็นเรื่องที่ควรสมยอมไม่ใช่เรื่องบังคับ

หากประสงค์ให้คนหันมาใช้บัตรพลาสติคมากขึ้น ควรให้ปชชทราบว่าผลดี ผลเสีย ของการใช้บัตรนี้ดีหรือเสียอย่างไร ให้ปชชตัดสินใจ

ทุกวันนี้ธนาคารที่ออกบัตรใช้กลยุทธ์ให้คนใช้บัตรด้วยของแลกแจกแถม มากมาย ใครๆก็อยากใช้บัตรทั้งนั้น

แต่ติดขัดว่า การพิจารณาออกบัตร มีเงื่อนไขหลายอย่าง บางคนไม่เข้าเกณฑ์
บางคนไม่มีความรู้เพียงพอจะใช้บัตร หรือบางที บางแห่ง ไม่รับบัตร เช่น การไฟฟ้านครหลวง

หากปลัดคลังสามารถทำให้การออกบัตรทำได้ง่าย ทำได้ทุกคน สร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้คน ได้หันมาใช้บัตร
ให้หน่วยงานรัฐรับบัตรทุกทีทุกแห่ง แม้การฃื้อพันธบัตรรัฐ แม้การจ่ายค่าอาหารตามฟาสฟูดส์ แม้การขึ้นรถเมล์ หากทำได้สะดวกดี ไม่มีปัญหาการจารกรรมข้อมูลการใช้บัตร

ก็เชื่อว่าปชชจะหันมาใช้บัตรกันมากขึ้น

ที่สำคัญต้องไม่ให้ร้านค้าเหล่านั้นผลักภาระการชาร์ต3%มาให้ปชช.รับผิดชอบ

คงจะดีกว่าความคิดของปลัดคลังที่จะใช้ภาษีมาเป็นตัวล่อด้วยวิธีการง่ายๆแต่เกิดความยุ่งยากและสับสนให้กับร้านค้าและปชช.

 

กระดุมเงิน