ศาลรธน.ตัดสิน “ธรรมนัส”ไม่หลุดตำแหน่งเหตุโทษจำคุกฐานขายเฮโรฮีนในต่างปท.ไม่ส่งผลกับก.มไทย ด้านสังคมอึ้งแม้แต่ผู้พิพากษาศาลฎีกาต่าง “ไม่เห็นพ้องด้วย”
ศาลรธน.ตัดสิน”ธรรมนัส”ไม่หลุดตำแหน่งเหตุโทษจำคุกฐานขายเฮโรฮีนในต่างปท.ไม่ส่งผลกับก.มไทย ด้านสังคมอึ้งแม้แต่ผู้พิพากษาศาลฎีกาต่าง”ไม่เห็นพ้องด้วย”
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 5 พฤษภาคม คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย กรณีที่ประธานรัฐสภาส่งความเห็นของส.ส. 51 คน ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) และความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบ มาตรา 160(6) และมาตรา 98 (10) หรือไม่ จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายอันถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้าซึ่งยาเสพติด
โดยที่ประชุมศาลได้มอบหมายให้ นายนภดล เทพพิทักษ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้อ่านคำวินิจฉัย ว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้อง คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คำชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเอกสารประกอบแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยจึงยุติการไต่สวน และกำหนดประเด็นวินิจฉัยคือ
ประเด็นแรกสมาชิกภาพส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา98 (10) หรือไม่ นับแต่เมื่อใด
ประเด็นที่สอง ความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบ มาตรา 160(6) และมาตรา 98 (10) หรือไม่ นับแต่เมื่อใด
พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 101 บัญญัติว่าสมาชิกภาพส.ส.สิ้นสุดลงเมื่อ(6) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 และมาตรา 98 บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นส.ส.(10) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุด ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมหรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐหรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออกหรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน
ศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือเรียกสำเนาคำพิพากษาของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์เครือรัฐออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2537 และสำเนาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์รัฐนิวเซาท์เวลส์ เครือรัฐออสเตรเลีย ลงวันที่ 10 มีนาคม 2538 และเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องจากผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ไม่สามารถส่งสำเนาเอกสารคำพิพากษาดังกล่าว และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องที่ทางราชการรับรองสำเนาถูกต้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องเป็นส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จ.พะเยา เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ผู้ถูกร้องรับว่าตนเคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ นั้น โดย
ประเด็นที่หนึ่ง สมาชิกส.ส.ของผู้ถูกร้อง สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) หรือไม่ นับแต่เมื่อใด มีข้อพิจารณาก่อนว่าคำว่าเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10 ) เป็นลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.หมายความถึงคำพิพากษาของศาลไทยเท่านั้นหรือไม่ เห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 3 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ วรรคสอง บัญญัติว่า รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม
จากบทบัญญัติดังกล่าว หมายถึงอำนาจอธิปไตยอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตยคือมีความเด็ดขาด สมบูรณ์ ไม่อยู่ในอาณัติหรือภายใต้อำนาจของรัฐอื่น อำนาจอธิปไตยแยกตามลักษณะหน้าที่ 3 ส่วน ได้แก่อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ โดยการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นการใช้อำนาจตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย ย่อมต้องไม่ตกอยู่ในอาณัติหรือภายใต้อำนาจตุลาการของรัฐอื่น หลักการปกครองของประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์ มีหลักการสำคัญคือหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และไม่ถูกประเทศอื่นแทรกแซงกิจการภายในของตนโดยไม่มีการทำข้อตกลงยินยอม ดังนั้น การบังคับตามคำพิพากษาของศาลต่างประเทศก็ดี การตีความให้คำพิพากษาของต่างประเทศ มีสถานะทางกฎหมายเช่นเดียวกับคำพิพากษาของศาลไทยก็ดี จึงไม่สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว ตามหลักอธิปไตยของรัฐ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ คำพิพากษาของศาลรัฐใดก็จะมีผลในดินแดนของรัฐนั้น บางกรณีรัฐใดรัฐหนึ่งอาจให้การรับรองคำพิพากษาของศาลอีกรัฐหนึ่งและอาจบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษานั้นได้ แต่ต้องมีการทำสนธิสัญญารับรองและบังคับตามคำพิพากษาตามหลักการต่างตอบแทนซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรณีคดีแพ่ง ครอบครัวและมรดก สำหรับคดีอาญาอาจได้รับการยอมรับพิจารณาบ้างกรณีส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือการโอนนักโทษโดยมีเงื่อนไขสำคัญตามหลักการต่างตอบแทนในสนธิสัญญาว่ารัฐภาคีต้องผูกพันและจะเคารพและปฏิบัติตามผลของคำพิพากษาของอีกรัฐภาคีหนึ่งด้วย
ดังนั้น ทั้งหลักการและทางปฏิบัติของรัฐเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางตุลาการได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศเพื่อยืนยันความเป็นอิสระของตุลาการและความศักดิ์สิทธิ์ของคำพิพากษา เมื่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีการกล่าวถึงคำพิพากษา จึงต้องหมายถึงคำพิพากษาของศาลแห่งรัฐหรือประเทศนั้นเท่านั้น ไม่รวมถึงคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ การตรากฎหมายอาญาของแต่ละประเทศกำหนดการกระทำที่เป็นความผิด องค์ประกอบของความผิด ฐานความผิด และเงื่อนไขการลงโทษไว้แตกต่างกัน โดยกระทำอย่างเดียวกันกฎหมายของบางประเทศอาจกำหนดให้เป็นความผิด แต่กฎหมายของไทยอาจไม่ได้กำหนดให้เป็นความผิดก็ได้ อีกทั้งหากตีความว่า “เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุด”หมายความรวมถึงคำพิพากษาของศาลต่างประเทศด้วย ทำให้ไม่อาจกลั่นกรองหรือตรวจสอบความชอบด้วยหลักนิติธรรมของกระบวนพิจารณาของศาลต่างประเทศดังกล่าว และขัดต่อหลักการต่างตอบแทน
กล่าวคือศาลต่างประเทศไม่ต้องบังคับหรือยอมรับคำพิพากษาของศาลไทย ทำให้อำนาจอธิปไตยทางศาลของไทยถูกกระทบกระเทือนอย่างมีนัยสำคัญ แม้ข้อเท็จจริงในคดีฟังได้ว่าผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ เครือรัฐออสเตรเลีย ก่อนสมัครรับเลือกตั้งส.ส. แต่ไม่ใช่คำพิพากษาของศาลไทย ผู้ถูกร้องจึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10 ) สมาชิกภาพส.ส.ไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6 ) ประกอบมาตรา 98 (10 ) และเมื่อได้วินิจฉัยประเด็นแรกไว้แล้วว่าผู้ถูกร้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 98 (10 ) ความเป็นรัฐมนตรีจึงไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบ มาตรา 160(6) และมาตรา98 (10)
ภายหลังศาลรธน.มีคำตัดสินออกมาเป็นที่ฮือฮาต่อสังคมไทยเป็นอย่างมากทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะนักกฎหมายและแม้กระทั่งผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา ก็ออกอาการแสดงความ”ไม่เห็นด้วย”กับคำตัดสินของศาลรธน. ฃึ่งคงต้องรอฉบับเต็มเพื่อนำไปวิเคราะห์คำตัดสินฃึ่งถือเป็นคำตัดสินที่ผูกผันไปทุกองค์กร และจะต้องมีการแก้ไขก.ม ต่อไปอีกหรือไม่
ใส่ความเห็น