เราก็ลืมไปว่าเราอาศัยกาย ที่จริงอาศัยใจ เราก็เลยพากันไปบำรุงแต่กาย ไม่บำรุงใจ
ในโอกาสที่เราได้มาเกิดทันพระพุทธศาสนา มีหนทางทำการพัฒนาทางด้านจิตใจได้แล้ว ก็จงพากันตั้งใจกระทำในสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาทางด้านจิตใจ
แล้วก็การพัฒนาในทางด้านจิตใจที่เรียกว่าจิตนิยมนี่จะต้องช่วยกันทำให้มันมากขึ้น มากขึ้นกว่าเก่า
เรียกว่าพัฒนาขึ้นทั้ง ๒ อย่าง คือวัตถุนิยมและจิตนิยมนี่สมดุลกัน ก็เกิดความเรียบร้อยขึ้นมาในหมู่ในคณะของพวกเรา แล้วก็เกิดความสุข
ความสุขนี่เราจะแสวงหาได้จากจิตนิยม คือสามารถที่จะแสวงหาได้ในทางด้านจิตใจ
เพราะว่าความสุขนี่มันเกิดขึ้นมาจากใจ ไม่ใช่เกิดมาทางกายนี่เป็นส่วนประกอบ
ความจริงแล้วนี่สำคัญอยู่ที่ใจของเรา
เพราะว่าใจของเรานี้จะสุขก็ดี จะทุกข์ก็ดี มันอยู่ที่ใจ
บางคนก็คิดว่าอยู่ที่กาย มันไม่ใช่ อยู่ที่ใจ
ลองคิดดูก็แล้วกันว่าเวลาที่ใจมันออกจากร่างไปแล้วเหลือแต่กายนี่ มันก็ไม่มีทั้งสุข ไม่มีทั้งทุกข์ เอาไฟไปจี้ก็ไม่เป็นไร เผาให้เป็นขี้เถ้าก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าใจมันออกไปแล้ว
ทีนี้ในเมื่อเวลาใจที่มันยังอยู่ในร่างกายของเรานี่ เวลาใจยังอยู่นี่มันรู้สึกหมด แม้แต่กระทบถูกต้องนิด ๆ หน่อย ๆ ก็รู้สึกแล้ว พูดกันก็ได้ ตาก็เห็น หูก็ได้ยิน ทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถสื่อสารกันได้ หรือสามารถที่มีความรู้สึกได้ทุกประการ
อันนี้เพราะอาศัยดวงใจของเราแท้ ๆ
ทีนี้เราก็ลืมไปว่าเราอาศัยกาย ที่จริงอาศัยใจ เราก็เลยพากันไปบำรุงแต่กาย ไม่บำรุงใจ
เพราะฉะนั้นธรรมะเบา ๆ ก็ให้พากันบำรุงใจของเรา ให้ใจเราสงบ ให้ใจของเรานี่มีศักยภาพ มีคุณภาพ
จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๓๒๕
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
๖๑.๐๒.๑๔
ใส่ความเห็น