พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ปะมาโท มัจจุโน ปะทัง” ความประมาทนั้นเป็นหนทางแห่งความตาย

ตายนั้นไม่ใช่ตายที่เราตายหมดชีวิตแต่ตายทั้งเป็น
คำว่าตายทั้งเป็นก็คือเป็นผู้มีความประมาท
มีความประมาทก็ประพฤติผิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง ประพฤติผิดไปแล้วนั่นแหละเขาเรียกว่าตาย คือตายจากคุณงามความดี
เมื่อตายจากคุณงามความดีแล้วเราก็กลายเป็นคนทุศีล
เมื่อกลายเป็นคนทุศีลแล้วไปไหน มันก็ติดตนตามตัวเราไปตลอด ไม่ใช่ว่าเราทำผิดศีลแล้วเราก็จะไม่ต้องรับผลของการกระทำผิดนั้น เป็นไปไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติที่เราจะต้องได้รับผลของการกระทำที่มีความผิดทั้งหลายเหล่านั้น

อย่างไรก็ตามเราได้มาพบเห็นการทำสมาธิ เราได้เข้าหมู่การทำสมาธิ เราได้ร่วมวงของการทำสมาธิ นั่นคือเราได้ใช้ชีวิตของเราที่มีอยู่นั้นให้ประเสริฐขึ้นแล้ว

เพราะอะไรจึงเรียกว่าประเสริฐ
เพราะว่าการทำสมาธินั้นเป็นการพัฒนาจิตของเรานี้ให้สูงยิ่งขึ้น จากขั้นต่ำไม่มีอะไรเลยจนกระทั่งมาถึงจิตรวม อย่างนี้

คำว่าจิตรวมนั้นก็คือจิตสงบ
คำว่าจิตสงบนั้นก็แปลว่าเป็นฌานหรือเป็นสมาธิขึ้นแล้ว
แต่ก่อนเราไม่ได้เป็นเพราะเราไม่ได้มาร่วมวงของการทำสมาธิ ไม่มาร่วมหมู่คณะของการทำสมาธิ เราก็ไม่รู้จักจิตรวมว่ามันคืออะไร
เราก็ไม่รู้จักว่าฌานนี่มันคืออะไร
แต่เมื่อเวลาเรามาศึกษาหรือมาร่วมวงในหมู่คณะของการทำสมาธิ วิชาการเหล่านี้ก็เกิดแก่ตัวของเรา

นอกจากวิชาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นแก่ตัวของเราแล้วเรายังมีเมตตากรุณาเกิดขึ้นในจิตใจอีกด้วย
เมตตากรุณานั้น ก็หมายความว่าเผื่อแผ่ความสุขของตน แบ่งปันไปแก่บุคคลผู้อื่นด้วย

ก็เช่นเดียวกันกับผู้ที่มาเรียนสมาธิจนกระทั่งสามารถเป็นผู้สอนหรือเป็นผู้ที่อธิบายแนะนำเรื่องสมาธิได้
ก็หมายความว่าเรามีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วก็จำเอาคำสั่งสอนเหล่านี้ไปสั่งสอนบุคคลอื่นต่อไปอีก
อย่างนี้เขาก็เรียกว่าเราเป็นบุคคลผู้ที่มีคุณภาพ

บุคคลผู้ที่มีคุณภาพนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวคนเดียว เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๒ หน้าที่ ๒๙๙
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๒.๐๔